วันที่ 27 พ.ค.68 ที่ศาลาว่าการ กทม. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 1 โดยมี นายชาตรี วัฒนเขจร รองปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 30 หน่วยงาน ร่วมประชุม และประชุมผ่านระบบออนไลน์

นายชัชชาติ กล่าวว่า เรื่องฝุ่นยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำงานทุกวันตลอดทั้งปีและต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำแค่ช่วงหน้าฝุ่น ปีนี้มีความก้าวหน้าในหลายเรื่อง เช่น มาตรการเขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone) ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้วเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ เรื่องการวัดสถานการณ์ฝุ่น ในพื้นที่กรุงเทพฯ กทม.มีสถานีวัดย่อยทั้ง 50 เขต เครื่องวัดจำนวน 70 เครื่อง หากนำค่าฝุ่นทั้ง 50 เขตมาเฉลี่ยอาจจะไม่ถูกต้อง ดังนั้น กทม. ต้องร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าจะใช้ค่าใดเพื่อบอกว่าสถานการณ์ฝุ่นดีขึ้นหรือแย่ลง เช่น นำค่าฝุ่นในเขตที่เกินมาตรฐานในแต่ละวันได้หรือไม่ เพื่อให้เกิดตัวเลขที่แท้จริงที่สามารถเป็นตัวบ่งชี้สถานการณ์ฝุ่น เพราะหากวัดไม่ได้จะไม่สามารถประเมินการทำงานว่าเรามาถูกทางหรือไม่

ในส่วนสถานการณ์ฝุ่นในแต่ละปี (2564 - 2568) สำนักสิ่งแวดล้อม (สสล.) รายงานว่า ค่าฝุ่นจะสูงตั้งแต่ช่วงเดือนพ.ย.จนถึงปลายเดือนมี.ค.ของอีกปี เนื่องจากต้นเดือนพ.ย.จะเข้าสู่ฤดูหนาวและช่วงต้นปีมีการเผาชีวมวลจึงทำให้ค่าฝุ่นสูง

ด้านผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในปี 2568 ได้แก่ มาตรการเขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone) กรุงเทพมหานครมีการประกาศห้ามรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อ (ยกเว้น EV, NGV, EURO 5-6) ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนบัญชีสีเขียว เข้าในพื้นที่เขตควบคุมฝุ่นวงแหวนรัชดาภิเษก ในช่วงวิกฤตฝุ่น ในวันที่ 23 ม.ค. 68 เวลา 00.01 น. ถึงวันที่ 24 ม.ค. 68 เวลา 23.59 น. ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว 426 คัน พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับแล้ว 4 คดี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. 67 – 31 มี.ค. 68 มีรถตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปลงทะเบียนบัญชีสีเขียวแล้วทั้งสิ้น 57,936 คัน โดยในปี 2569 จะพิจารณาขยายพื้นที่การประกาศห้ามรถตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปวิ่งเข้าพื้นที่กรุงเทพมหานคร

นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า หัวใจของมาตรการเขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone) คือไม่ใช่ไปจับรถที่มีมลพิษสูง แต่เป็นการสร้างแรงจูงใจให้รถที่ปล่อยมลพิษไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนไส้กรอง และขึ้นทะเบียนรถบัญชีสีเขียว (Green List) เพื่อให้รถสามารถเข้าพื้นที่ควบคุมได้ และต่อไปจะขยายผลให้มากขึ้น

ด้านโครงการรถคันนี้ลดฝุ่น ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. 67 – 28 ก.พ. 68 กทม. ร่วมกับเครือข่ายภาครัฐและเอกชนเชิญชวนทุกภาคส่วนเข้าร่วมโครงการฯ โดยมีรถเข้าร่วมโครงการเปลี่ยนไส้กรองแล้ว 291,137 คัน จากเป้าหมาย 500,000 คัน มีการจัดทำห้องเรียนปลอดฝุ่นในโรงเรียน 1,966 ห้อง ดำเนินการแล้วเสร็จ 744 ห้อง และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 151 แห่ง

ส่วนมาตรการอื่น ๆ ดำเนินการต่อเนื่อง เช่น เชิญชวนทุกภาคส่วน Work From Home ตั้งเป้าลงทะเบียน 200,000 คน ปัจจุบันลงทะเบียนแล้ว 104,402 คน โดยช่วงที่ประกาศ WFH ส่งผลให้การจราจรลดลง 15% เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่ไม่ใช้เงินแต่ใช้ความร่วมมือ โดย กทม. จะพยายามหาเครือข่ายให้มากขึ้น นอกจากนี้ มีการให้เกษตรยืมรถอัดฟางเพื่อลดการเผา การประกาศพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ สนับสนุนน้ำแข็งแห้งเพื่อดำเนินภารกิจลดฝุ่นของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดช่องทางแจ้งเบาะแสฝุ่น PM2.5 การพยากรณ์และแจ้งเตือนฝุ่นผ่านธงคุณภาพอากาศในโรงเรียน ชุมชน และสำนักงานเขต เปิดศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร และแจ้งเตือนผ่าน LINE ALERT ตรวจต้นตอฝุ่น ปรับปรุงจราจร เพิ่มพื้นที่สีเขียว

"สุดท้ายแล้วปัญหาเรื่องฝุ่น เชื่อว่าเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเผาชีวมวล การปล่อยควันพิษมันคือทางออกที่เป็นเศรษฐศาสตร์ ชาวนาจะเลือกการเผานาซึ่งเป็นทางเลือกที่ต้นทุนไม่สูง แต่ถามว่าคนยอมกินข้าวที่แพงขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่มีการเผานา คนไม่ยอมแต่จะกินข้าวราคาถูกสุดท้ายเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ ดังนั้นถ้าหากไม่ช่วยด้านเศรษฐกิจ เช่น ไม่หาอุปกรณ์ให้ชาวนาเพื่อลดต้นทุน ไม่หาตลาดให้ชาวนาหากต้องขายข้าวแพงขึ้นจากการไม่เผานาทำให้มีต้นทุนสูงขึ้น จึงต้องคิด 2 มิตินี้ควบคู่กันไปด้วย" นายชัชชาติ กล่าว