ในระยะเวลาบริหารกทม.อีก 1 ปี ต่อจากนี้ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พุ่งเป้าเรื่องการศึกษา โดยเฉพาะการพัฒนาให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เนื่องจากด้านการศึกษามีหลายมิติต้องดำเนินการ เช่น หลักสูตร ความปลอดภัย ครู เทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน สวัสดิการบุคลากรต่าง ๆ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลถึงคุณภาพนักเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีของโลก ทำให้องคาพยพด้านการศึกษาจำเป็นต้องปรับตัวตามไปด้วย

 “1 ปีต่อจากนี้ ต้องเร่งพัฒนาการศึกษาและสาธารณสุขให้เห็นผลให้ได้ เพราะเป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำ โง่ จน เจ็บ โดยปัญหาของเราคือการวัดผลของการพัฒนา 2 เรื่องนี้ไม่ง่าย ไม่เหมือนการลอกคลอง ลอกท่อ ปลูกต้นไม้ ทำถนนสวย ซึ่งวัดเป็นรูปธรรมได้ง่าย จึงต้องฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการวัดผลเรื่องการศึกษาให้เป็นรูปธรรมให้ได้ ให้เห็นว่าคุณภาพเด็กต้องดีขึ้น ภาษาอังกฤษต้องดีขึ้น เพราะเราทำมากเพื่อพัฒนาแต่จะทำอย่างไรให้คนเห็นว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม มีตัวเลขที่ชี้วัดได้ เราจะใช้ความรู้สึกวัดไม่ได้ เพราะถ้าวัดเป็นตัวเลขไม่ได้ก็วัดความสำเร็จได้ยาก” นายชัชชาติ กล่าว

นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวแนวทางพัฒนาการศึกษาโรงเรียนสังกัดกทม.ว่า สิ่งสำคัญของการพัฒนาการศึกษา คือการพัฒนาคน จากเดิมการเรียนรู้ในโรงเรียนอาศัยครูเป็นศูนย์กลาง แต่ปัจจุบันกทม. ปรับเปลี่ยนให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ยึดความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก ให้นักเรียนเป็นเจ้าของเวลาเรียน ส่วนครูทำหน้าที่เป็นโค้ช ซึ่งแนวทางนี้มีการพูดถึงกันมานานแล้ว แต่การดำเนินการต้องพัฒนาด้านอื่นควบคู่ไปด้วย ได้แก่ 1.ลดภาระครู นายศานนท์ มองว่า หากไม่ลดภาระครูไม่สามารถยกระดับการศึกษาได้ เรื่องนี้สำคัญอันดับแรก กทม.จึงใช้วิธีจ้างธุรการทำงานเอกสาร จ้างรปภ. เพื่อให้ครูไม่ต้องเข้าเวร สามารถลดการทำเอกสารการเงินถึงร้อยละ 45 บางโรงเรียนถึงร้อยละ 70 นอกจากนี้ ยังเพิ่มครูที่มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ และเพิ่มสวัสดิการบ้านพักครู เพื่อลดการย้ายออกจากพื้นที่ รวมถึงอุดช่องว่างต่าง ๆ เช่น การเพิ่มสวัสดิการครู จุดประสงค์เพื่อให้ครูใช้เวลากับเด็กมากขึ้น

2.พัฒนาครู โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี เนื่องจากครูหลายคนมีอายุมาก แต่เรื่องอายุไม่ใช่ปัญหา ขอให้มีความพร้อมในการพัฒนาตนเอง ในปี 2568 กทม.ตั้งเป้าพัฒนาครูแกนนำด้านเทคโนโลยีจำนวน 1,400 คน ให้สามารถออกแบบหลักสูตร สื่อการสอน และวัดผลด้วยเทคโนโลยีได้ เป้าหมายคือทุกโรงเรียนในสังกัดกทม. ต้องมีครูแกนนำในด้านนี้ โดยกทม. จะสร้างโค้ช 120 คน เพื่อพัฒนาครูแกนนำดังกล่าว รวมถึงจัดทำโครงการก่อการครู เพื่อเน้นให้ครูเข้าใจความเป็นครูมากขึ้น 3.นำเทคโนโลยีมาใช้ เนื่องจากปัจจุบันเด็กเรียนรู้จากเทคโนโลยีนอกห้องเรียนมากกว่าในโรงเรียน ดังนั้น โรงเรียนต้องปรับตัว กทม.จึงมีนโยบายห้องเรียนดิจิทัล โดยเริ่มนำร่องในปี 2566 ที่โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ เขตบางเขน จำนวน 1 ห้องเรียน ปรากฏว่าผลการเรียนดีขึ้นทุกวิชา ในปี 2567 จึงขยายเพิ่มเป็น 10 โรงเรียน ส่วนในปี 2568 ได้รับงบประมาณในการจัดทำห้องเรียนดิจิทัล ในระดับชั้น ป.4 และ ม.1 ในโรงเรียน 437 แห่งทั่วกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ยังใช้ ai มาช่วยสอนในวิชาที่ยากที่สุด เช่น วิชาภาษาอังกฤษ โดยช่วยฝึกพูดฝึกเขียน เนื่องจากการใช้ ai สามารถฝึกเด็กได้พร้อมกันและทั่วถึงกันทุกคน ทั้งเด็กเก่งและไม่เก่ง จากการทดลอง 6 โรงเรียน ในห้องเรียนที่มีการเรียนดีที่สุด พบว่า ภาษาอังกฤษดีขึ้นร้อยละ 37 ซึ่งในปี 2568 จะขยายแนวทางดังกล่าวให้ครบทุกโรงเรียน นอกจากนี้ยังใช้ ai มาช่วยเสริมศักยภาพและพัฒนาการสอนของครู ปัจจุบันนำร่องไปแล้ว 2 โรงเรียน

4.การปรับหลักสูตร ในปี 2567 กทม.ปรับหลักสูตรในรอบ 16 ปี โดยการลดเวลาเรียนวิชาหลักในห้อง เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัตินอกห้องมากขึ้น เช่น การทำกิจกรรม การทำโครงการต่าง ๆ เพื่อให้เด็กได้ลงมือทำจริง นอกจากนี้ยังเพิ่มวิชาการเงิน และวิชาสิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติ เป็นครั้งแรกในปี 2567 โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ เป็นต้น รวมถึงเปลี่ยนการประเมิน จากการประเมินผลรายวิชา เป็นการประเมินทักษะและสมรรถนะ ซึ่ง 4 แนวทางยกระดับคุณภาพการศึกษาดังกล่าว ได้เริ่มดำเนินการแล้ว อยู่ระหว่างขยายให้ครบทุกโรงเรียน

ในด้านการพัฒนาเด็กแรกเกิด นายศานนท์ กล่าวว่า จากข้อมูลกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า เด็ก 0-6 ขวบ มีจำนวนประมาณ 300,000 คน 1 ใน 4 ได้รับการศึกษา ส่วน 3 ใน 4 ยังไม่รู้เรียนที่ไหน ซึ่งกทม. ต้องนำเด็กที่ยังไม่ได้เรียนหนังสือเข้าระบบการศึกษา โดยจัดทำโครงการ BookStart กำหนดให้เด็กที่เกิดในโรงพยาบาลสังกัดกทม. 8 แห่ง ได้รับหนังสือนิทาน 3 เล่ม และคู่มือความเป็นแม่ เพื่อเตรียมตัวเป็นแม่และเลี้ยงลูกอย่างต้องมากขึ้น ส่วนเด็กอายุ 1.5-3 ขวบ เน้นการปรับปรุงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้ดีขึ้น เริ่มรับเด็กตั้งแต่ 1.5 ขวบ โดยปัจจุบันได้เพิ่มเงินเดือนครูในรอบ 12 ปี เพิ่มงบประมาณเด็กรายหัว ค่าอาหาร ค่าวัสดุ จัดทำหลักสูตรแนวทางการสอนกลางให้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในอนาคตจะมีการร่างข้อบัญญัติ เพื่ออุดหนุนศูนย์เด็กเล็กที่อยู่นอกชุมชน โดยจะเสนอสภากทม.ในสมัยหน้าต่อไป

ส่วนเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไป ปัจจุบันได้ขยายให้โรงเรียนสังกัดกทม.รับเด็กตั้งแต่อายุ 3 ขวบ จากเดิม 4 ขวบ ในปี 2567 ดำเนินการแล้ว 191 โรงเรียน ในปี 2568 เพิ่มเป็น 312 โรงเรียน จะมีเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาเพิ่มประมาณ 9,400 คน นอกจากนี้ ยังมีการทำห้องปลอดฝุ่น 1,966 ห้อง พัฒนาหลักสูตรปฐมวัย ตามแนวทาง Play-based Learning ไม่เร่งอ่านเขียน รวมถึงมีการเพิ่มสนามเด็กเล่นให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้

“ช่วงสำคัญที่สุดในชีวิตคือ 0-8 ปี เพราะมีพัฒนาการสูงมาก โดยเฉพาะการพัฒนาสมองช่วง 3-6 ปี จากข้อมูล กสศ. วิจัยว่า ช่วงอายุ 3-5 ปี หลุดจากระบบการศึกษามากที่สุด ขณะที่ตัวเลขจากทะเบียนราษฎร์มีคนเกิดประมาณปีละ 50,000 คน นับช่วงอายุ 0-6 ปี มีประมาณไม่เกิน 300,000 คน จากการนับเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือโรงเรียนเอกชน มีประมาณ 70,000 คน เทียบแล้วประมาณ 1 ใน 4 คนที่อยู่ในโรงเรียน ไม่รู้ว่าอีก 3 คนอยู่ไหน เป็นปัญหาวิกฤตมาก การพัฒนาต้องดึงเด็กเข้าระบบให้เร็ว ให้เด็กอยู่ในสถานภาพหรือคุณภาพที่ดีขึ้น ศูนย์เด็กต้องดี โรงเรียนต้องดี” นายศานนท์ กล่าว