กทม.เตรียมแผนรับมือวิกฤตเมือง บริหารภัยพิบัติในอนาคต
วันที่ 26 พฤษภาคม 2568 รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 โดยมีศูนย์กลางที่เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 28 มี.ค.68 แรงสั่นสะเทือนส่งผลหลายพื้นที่ในประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพฯ โดยเหตุดังกล่าวทำให้โครงสร้างพื้นฐานและอาคารต่างๆได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งกำลังก่อสร้างพังถล่มลงมา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ผู้คนหนีออกจากอาคารสูง ขนส่งระบบรางหยุดให้บริการ ปิดทางด่วนและถนนหลายสายระบบขนส่งสาธารณะไม่เพียงพอ เมืองหยุดชะงักและเกิดความล่าช้าในการเดินทาง
การรับมือของกทม. มีทั้งการตั้งศูนย์ประสานงานเหตุฉุกเฉินเฝ้าระวังตลอด 24 ชม. ตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางด่วน สะพานอพยพผู้โดยสารจากระบบขนส่งมวลชนประสานหน่วยงานต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน เพิ่มรถโดยสารประจำทางและขยายเวลาเดินรถตลอดคืน ขอความร่วมมือกองทัพส่งรถบรรทุกช่วยรับส่งประชาชน ขอความร่วมมือวินจักรยานยนต์รับจ้างขยายเวลาให้บริการ บริหารจัดการการจราจร ใช้ข้อมูลเรียลไทม์จาก Google Maps สำรวจและกำหนดเส้นทางเลือกเพื่อให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดบนถนนสายหลักเผยแพร่ข้อมูลจราจรและความปลอดภัยสู่สาธารณชนเปิดสวนสาธารณะเป็นที่พักพิงชั่วคราว ตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารต่างๆ โดยความร่วมมือจากวิศวกรอาสา
รศ.ทวิดา กล่าวว่า เหตุดังกล่าวทำให้มีความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับตัวและเสริมสร้างความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงภัยพิบัติที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น กทม.จึงมีแผนรับมือวิกฤตเมืองสู่ความพร้อมในอนาคต โดยได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการภัยพิบัติในระยะยาว ประกอบด้วย
ด้านการเตรียมความพร้อม ดังนี้ 1.การเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็น สร้างความร่วมมือ จัด Hackathon 2.จัดทำแผนสำรองด้านจราจร รวมทั้งประเมินศักยภาพระบบ 3.กำหนดเส้นทางอพยพและพื้นที่ปลอดภัย 4.สื่อสารแนวทางและข้อมูลในการรับมือเมื่อเผชิญเหตุสู่สาธารณชน 5.จัดให้มีการฝึกซ้อมสถานการณ์จริง 6.เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นและพื้นที่ปลอดภัยให้พร้อม และ 7.ตรวจสอบความมั่นคงของอาคารต่างๆ
ด้านการบริหารจัดการเมื่อเกิดเหตุการณ์ ดังนี้ 1.แจ้งเตือนฉับไว 2.ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ 3.ใช้ AI ช่วยในการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่ออพยพและเคลื่อนย้ายผู้คน 4.จัดระบบขนส่งสำรองและที่พักชั่วคราว 5.จัดบริการรถโดยสารฉุกเฉิน 6.ควบคุมการให้บริการอย่างเข้มงวด เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงบริการได้อย่างเท่าเทียม และ7.สื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียและ แพลตฟอร์มดิจิทัล
ด้านการดำเนินการหลังเหตุการณ์ ดังนี้ 1.ตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐาน 2.แจ้งปิดเส้นทางที่ไม่ปลอดภัย 3.ป้องกันปัญหาการจราจรติดขัด และ4.ดำเนินการซ่อมแซมและฟื้นฟูโดยเร็ว
ขณะเดียวกัน กทม.ได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเมืองกรุงเทพมหานคร (Bangkok Command Center) ที่เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดจากศูนย์ต่างๆ ของแต่ละหน่วยงานภายใน กทม. ทั้งด้านความปลอดภัย น้ำท่วม ไฟไหม้ กล้อง CCTV การจราจร ด้านการแพทย์ และภัยพิบัติ ไว้ที่อาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการ กทม.ดินแดง เพื่อกำกับดูแลด้านความปลอดภัยและอำนวยความสะดวก กรณีเกิดเหตุ
อย่างไรก็ตามเหตุดังกล่าวเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นที่ต้องมีการตรวจสอบและเสริมความแข็งแรงของอาคารอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอาคารเก่าที่อาจไม่ได้ออกแบบให้รองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว การบริหารจัดการสาธารณภัยจากเหตุการณ์ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการวางระบบการเตรียมพร้อมและรับมือที่เป็นระบบและเชิงรุกมากขึ้น รวมถึงความสำคัญของการวิเคราะห์และถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพื่อนำไปปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยและการตอบสนองต่อภัยพิบัติในอนาคต
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า จากประสบการณ์ในการจัดการภัยพิบัติที่ผ่านมา กทม.ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ 1.การมีประสบการณ์ภาคสนาม ที่เพียงพอจะช่วยให้สามารถประเมินสถานการณ์และดำเนินการตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 2.การใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือชีวิตและประเมินพื้นที่เสี่ยงได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นทั้งประสบการณ์และเทคโนโลยีจึงต้องทำงานควบคู่กันอย่างเป็นระบบ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับวิกฤตในอนาคต