เมื่อวันที่ 25 พ.ค.68 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “เบื่อการเมือง เหมือนถูกหลอก” ที่จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 24 พฤษภาคม 2568 โดยใช้ทั้งวิธีวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,024 ตัวอย่าง พบว่า ส่วนใหญ่หรือประชาชนร้อยละ 81.9 ระบุว่ารู้สึกเบื่อการเมือง ชี้ให้เห็นถึงภาวะ “วิกฤตศรัทธาทางการเมือง” (Political Disillusionment) ซึ่งเกิดจากการรับรู้ซ้ำซากถึงพฤติกรรมของนักการเมืองที่ไม่ต่างจากอดีต ซึ่งสะท้อนสภาวะ การหมดศรัทธา (Cynicism) ต่อระบบการเมืองในระดับสูงที่สุดในรอบหลายปี
นอกจากนี้ ประชาชนยังรู้สึกว่า “เหมือนถูกหลอกซ้ำซาก” ร้อยละ 75.4 และ “การเลือกตั้งไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร” ร้อยละ 68.8% สามารถอธิบายได้ผ่านกรอบแนวคิดสะท้อนความป่วยอ่อนล้าประชาธิปไตย (Democratic Fatigue Syndrome) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อประชาชนเข้าใจว่าการเมืองเป็นเครื่องมือที่ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้อีกต่อไป
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า ที่น่าพิจารณาคือ คำตอบที่ว่าการเมืองคือ “เกมแย่งชิงผลประโยชน์” ร้อยละ 63.7 และ “รู้สึกถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมือง” ร้อยละ 62.2 นอกจากนี้ระบุ “ไม่เห็นอนาคตใหม่ที่ดีทางการเมือง” ร้อยละ 54.7 ชี้ให้เห็นถึงการรับรู้ว่าการเมืองถูกผูกขาดโดยชนชั้นนำ (Elite Capture) และประชาชนเป็นเพียงผู้ถูกใช้ในการเลือกตั้ง ไม่ใช่ผู้มีบทบาทในการตัดสินนโยบายอย่างแท้จริง
ที่น่าสนใจคือ ข้อเสนอแนะจากประชาชนต่อการเมืองสะท้อนถึงความคาดหวังของประชาชนต่อ “การเมืองคุณธรรม” (Ethical Politics) โดยประชาชนร้อยละ 82.7 ต้องการให้นักการเมือง “ทำให้ได้ตามที่พูด” ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของ Accountability หรือความรับผิดชอบต่อคำมั่นสัญญาทางการเมือง
ผลโพลยังแสดงว่าประชาชนร้อยละ 80.6 ต้องการ “ผลงานที่จับต้องได้” ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิด Result-Oriented Governance หรือการบริหารที่เน้นผลลัพธ์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์หรือการสร้างข่าวประชาสัมพันธ์ ร้อยละ 74.1 ระบุ “โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่โกง” ร้อยละ 59.1 ระบุ “จริงใจกับประชาชนให้มากขึ้น” และร้อยละ 54.8 ระบุ “เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ ประชาชนร่วมแก้ปัญหา”
อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังต่อ “ความโปร่งใส” (Transparency) และ “ความจริงใจ” ยังเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สำคัญในการสร้าง ความชอบธรรมของรัฐบาล (Legitimacy) และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองกับประชาชนรากหญ้า
ข้อเสนอแนะให้ “เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วม” ร้อยละ 54.8 คือการส่งสัญญาณว่าประชาชนกำลังแสวงหา การเปลี่ยนผ่านเชิงรุ่น (Generational Political Shift) และระบบที่เปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมของเยาวชนและสังคมพลเมือง
การที่ร้อยละ 42.8 เห็นว่านักการเมืองและข้าราชการ “พอ ๆ กัน” สะท้อนให้เห็นถึงภาวะที่เรียกว่า Neutralized Trust Deficit หรือช่องว่างแห่งความไม่ไว้วางใจที่เท่าเทียมกันระหว่างสองฝ่าย ร้อยละ 17.9 ระบุ “ข้าราชการดีกว่า” ร้อยละ 15.6 ระบุ “นักการเมืองดีกว่า” ขณะเดียวกัน ยังมีถึงร้อยละ 23.7 ที่ไม่มีความเห็นใดๆ ซึ่งอาจตีความได้ว่าเกิด ภาวะเฉยเมยทางการเมือง (Political Apathy) หรือไม่เห็นประโยชน์ในการให้ความเห็นเพราะไม่มีความแตกต่าง ผลโพลนี้อาจสะท้อนภาพรวมของระบบราชการและระบบการเมืองไทยที่ยังไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือในฐานะ “ตัวแทนประชาชนที่แท้จริง” และยังไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานของสาธารณชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
“การสำรวจครั้งนี้ตอกย้ำความจำเป็นในการ “ปฏิรูปการเมืองเชิงโครงสร้าง” และ “ฟื้นฟูศรัทธาในระบบประชาธิปไตย” ผ่านการสร้างกลไกใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งความโปร่งใส ประสิทธิภาพ และการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกระดับ ผลโพลนี้จึงไม่ใช่เพียงการสะท้อน “ความเบื่อหน่าย” แต่คือ “ข้อเรียกร้อง” ที่มีฐานมาจากความรู้สึกที่ลึกซึ้งของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย” ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว