แม้ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว แต่ “ข้อพิพาทระหว่างแท็กซี่และแกร็บ” กลับยังวนเวียนอยู่ในสังคมไม่ต่างจากเดจาวู ตั้งแต่แกร็บเข้ามาให้บริการรับส่งผู้โดยสารในไทยเมื่อหลายปีก่อน ความขัดแย้งก็ปะทุขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในแง่กฎหมาย การแข่งขันไม่เป็นธรรม และคุณภาพบริการ

กระนั้นเมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้ง เราจะพบว่าแท้จริงแล้ว “ผู้ใช้บริการ” คือหัวใจของประเด็นนี้ เพราะไม่ว่าฝ่ายใดจะพูดอย่างไร สุดท้าย “เสียงของประชาชน” คือคำตัดสินที่แท้จริง

ต้นตอของข้อพิพาท: เมื่อบริการเดิมต้องรับมือกับเทคโนโลยีใหม่

การเกิดขึ้นของแกร็บและแพลตฟอร์มเรียกรถออนไลน์อื่น ๆ สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารอย่างเห็นได้ชัด การจองรถผ่านแอปฯ รู้ราคาล่วงหน้า ดูรีวิวคนขับ และสามารถชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด คือจุดเปลี่ยนใหญ่ที่แท็กซี่ดั้งเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทัน

แต่สิ่งนี้กลับสร้างแรงกดดันให้กับแท็กซี่แบบดั้งเดิม ซึ่งมองว่าแกร็บและแพลตฟอร์มเหล่านี้ “แข่งขันไม่เป็นธรรม” เพราะไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวดเท่ารถแท็กซี่ เช่น เรื่องใบอนุญาต การตรวจสภาพรถ หรือภาษี

จุดขัดแย้งหลักระหว่างแท็กซี่กับแกร็บประกอบด้วย 1. สถานะทางกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจน รถแท็กซี่ต้องจดทะเบียนตาม พ.ร.บ.รถยนต์สาธารณะ ขณะที่แกร็บเคยเป็น “บริการสีเทา” จนรัฐบาลต้องหาทางออกด้วยการออกระเบียบเฉพาะเพื่อรองรับ ที่ปัจจุบันแม้จะมีกฎหมายรองรับบริการรับส่งผ่านแอปแล้ว แต่ยังมีช่องว่างในหลายประเด็น เช่น การกำกับราคาค่าโดยสารหรือมาตรฐานรถให้บริการ

2. ต้นทุนและภาระที่ไม่เท่ากัน แท็กซี่ต้องเสียค่าเช่ารถรายวันรายเดือน ค่าตรวจสภาพ ค่าติดตั้ง GPS ฯลฯ แกร็บใช้ระบบ “ขับเมื่อไหร่ก็ได้” และบางรายใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งต้นทุนน้อยกว่า

และ 3. การแย่งลูกค้าและพื้นที่ให้บริการ โดยแท็กซี่บางรายมองว่าแกร็บเข้ามาแย่งลูกค้าหน้าสถานี รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือค่าสิทธิ์ในการเข้า-ออกสถานที่

เสียงจากผู้ให้บริการ : ทั้งสองฝ่ายมีเรื่องให้พูด

ฝั่งแท็กซี่ดั้งเดิม “เราอยู่ในระบบ ถูกตรวจสอบทุกอย่าง แต่ทำไมเขา (แกร็บ) ถึงเข้ามาแข่งได้แบบอิสระ?”หลายเสียงสะท้อนความน้อยเนื้อต่ำใจที่ระบบราชการดูเหมือนไม่สามารถปกป้องผู้ให้บริการที่ปฏิบัติตามกฎหมายได้”

ฝั่งแกร็บ “เรามีอิสระ ขับเมื่อไหร่ก็ได้ รายได้ขึ้นอยู่กับความขยัน และเราให้บริการดีเพราะระบบให้คะแนนมันแฟร์  ผู้ขับขี่แกร็บหลายคนคือคนรุ่นใหม่ หรือผู้มีรายได้ไม่แน่นอนที่ต้องการอาชีพเสริม”

แล้วผู้โดยสารล่ะ!พวกเขาคิดอย่างไร?

ถ้าให้พูดตามตรง ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มักยืนอยู่ข้าง “ความสะดวก” มากกว่า “ความถูกต้องตามระบบ” เพราะประสบการณ์ใช้แท็กซี่แบบดั้งเดิมมักจะมีปัญหาซ้ำซาก เช่น ไม่กดมิเตอร์ เลือกผู้โดยสาร บริการแย่ พูดจาไม่สุภาพ ปฏิเสธลูกค้าเมื่อเส้นทางไม่สะดวก

ในทางกลับกัน การใช้แกร็บหรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ มักได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่า เพราะมีระบบ “รีวิว-ให้คะแนน” ที่ทำให้คนขับต้องระมัดระวังในการให้บริการ

หากมองในเชิงตลาด ความต้องการของผู้บริโภคคือสิ่งที่ขับเคลื่อนการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่หรือแกร็บ หากสามารถให้บริการได้ดี มีความโปร่งใส และคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้า ย่อมได้เปรียบในสนามจริง

รัฐบาลอาจเป็นคนออกกฎหมาย แพลตฟอร์มอาจเป็นคนพัฒนาเทคโนโลยี แต่ผู้โดยสารต่างหาก...ที่เป็น “กรรมการตัดสิน”

ทางออกให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันได้

1. กฎหมายต้องเท่าเทียมและเป็นธรรม ภาครัฐควรพัฒนากฎหมายให้ทันยุคดิจิทัล แต่ยังคงหลักความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการเดิม ควรมีเกณฑ์เดียวกัน เช่น เรื่องการอบรมคนขับ การตรวจสภาพรถ และการกำกับค่าโดยสาร

2. ปรับภาพลักษณ์และคุณภาพบริการ ฝั่งแท็กซี่ควรใช้โอกาสนี้ปรับตัว พัฒนาแอปเรียกรถของตนเอง เพิ่มมาตรฐานบริการ และให้ความสำคัญกับรีวิวลูกค้า ขณะที่แกร็บควรมีมาตรการควบคุมคนขับที่ไม่เหมาะสมอย่างจริงจัง

3. เปิดพื้นที่แข่งขันแบบแฟร์ๆ ควรสร้างกติกาการใช้พื้นที่สาธารณะ เช่น หน้าสถานีรถไฟฟ้า ห้างฯ และสนามบิน ให้ทั้งสองฝ่ายเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม

ทั้งนี้ข้อพิพาทระหว่างแกร็บกับแท็กซี่อาจไม่สามารถแก้ไขได้ทันที แต่สิ่งที่ทุกฝ่ายควรรู้คือ “ผู้โดยสาร” ไม่ใช่เพียงแค่เป้าหมายทางธุรกิจ แต่คือผู้ตัดสินว่าใครจะอยู่หรือไปในสนามการแข่งขันนี้ เสียงของประชาชนมีน้ำหนักมากกว่าการโต้เถียง หรือการประท้วง

และในยุคที่ความสะดวกคือสิ่งสำคัญที่สุด ใครที่ตอบโจทย์ประชาชนได้มากกว่า...คนนั้นคือผู้ชนะ

#แกร็บ #แท็กซี่ไทย #ข้อพิพาทแกร็บแท็กซี่ #บริการรถสาธารณะ #เสียงประชาชน #แกร็บกับแท็กซี่ใครดีกว่า