หมายเหตุ: “ศักดา นพสิทธิ์” นักวิเคราะห์การเมืองและอดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษรายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” วิเคราะห์ความเป็นไปของสถานการณ์การเมือง ตลอดจนทิศทางการต่อสู้ของ พรรคการเมืองในรัฐบาลผสม และบ่วงจาก “คดีความ” ที่เกี่ยวพันกับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี  จะสร้างแรงกระทบต่อใครบ้าง จะกระทบไปถึงการโหวต “ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2569”  ในวาระแรก หรือไม่ โดยรายการออกอากาศเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ทางช่องยูทูบ Siamrathonline

-การเมืองไทยวันนี้ถือว่าเราอยู่ในสถานการณ์ที่ปกติหรือไม่ เดินไปสู่เดทล็อคแล้วหรือไม่

มองว่าสถานการณ์ไม่ค่อยปกติ เนื่องจากเราไม่ค่อยเห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลมักจะมีความเห็นออกมาไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันหลายวาระ แม้เป็นเรื่องสำคัญของรัฐบาล แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะใกล้เดดล็อก ประเทศไทยยังมีทางออก ด้วยเหตุผลที่ว่า หากพิจารณาย้อนหลังไป 2 ปี ปรากฏการณ์ในเดือนสิงหาคม 2566 ที่คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้กลับประเทศไทยมา มันมีนัยทางการเมืองและในทางบ้านเมือง

จะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ต้องฟังหูไว้หู ว่าอดีตนายกฯทักษิณ กลับมาครั้งนี้มีภารกิจ แต่ภารกิจนี้ยังไม่ลุล่วง ตรงนี้ก็สังเกตได้เหมือนกันว่า บ้านเมืองมีกลไก สิ่งที่เราเห็นในทางการเมือง เราอาจจะไม่ได้เห็นทั้งหมด  แต่มีกลไกที่เราไม่จำเป็นต้องเห็นทั้งหมด แต่เส้นทาง ทางเดินนั้นต่างหาก แล้วถามว่าประชาชนจะได้อะไรจากสมการนี้  ต้องยอมรับว่าอาจจะค่อนข้างเสียเปรียบ แต่รอดูส่วนที่มีสิทธิ มีหน้าที่ในการบริหารจากคนที่พ้นจากการเมืองมาแล้ว แต่มีความคิดเห็นต่อบ้านเมือง ก็พยายามทำอะไรกันอยู่แต่ในเวลานี้ก็อาจจะทำอะไรนอกกรอบไปไม่ได้มาก

จากกระบวนการที่เราได้เห็นว่ามีการสอบสวนการได้มาซึ่งสว. ที่เราเห็นว่าต้องมีการบังคับคดีในชั้น 14 หรือการที่เราจะดูว่าพ.ร.บ.งบประมาณ 2569 อาจจะไม่ผ่านสภา สิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ทางการเมือง ที่ไม่เคยมีมา ในอดีต เพราะสมการทางการเมืองชั่วโมงนี้ถูกคัดแยกจนเกือบจะมีความชัดเจนแล้วว่า ฝ่ายค้านในวันนี้ ควรจะเป็นฝ่ายค้านต่อไป  ส่วนซีกรัฐบาลในวันนี้ มีสมการขนาดนี้ซึ่งอ่านกันแล้วเห็นหน้าเกมการเมืองแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จะพลิกไปไม่ได้ ถ้าพลิกไป แต้มก็ไม่พอ จากนั้นก็จะไปสู่กระบวนการล้มการเมือง หรือจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่วันนี้ยังไม่มีใครพร้อม ดังนั้นในปีนี้ยังไม่ยุบสภา

- โอกาสที่รัฐบาลจะอยู่ไปจนครบเทอมมีหรือไม่ เพราะตอนนี้ผ่านไปแล้วครึ่งเทอมแรก

ถ้าจะครบกันจริงๆก็เกือบกลางปี 2570 แต่ก็มีความอึดอัดกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลที่อยู่ร่วมกัน ด้วยกัน แต่ถ้าสมการของตัวเลข ตัวอย่าง กรณีพรรคเพื่อไทยมีสส.เพิ่มมากขึ้น อำนาจในการต่อรอง อำนาจการสั่งการ และอำนาจการบริหารในฐานะแกนนำรัฐบาลก็อาจจะดีขึ้น ซึ่งอันนี้คือเป้าหมาย หากมีการเลือกตั้งแล้วพรรคเพื่อไทยดีขึ้น

ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อของพรรคภูมิใจไทย  ว่าหากสถานการณ์ของพรรคแกนนำรัฐบาลขณะนี้ ทำงานการเมืองไปแล้วยังไม่ดีแต่หากพรรคภูมิใจไทยสปีดอีกหน่อย ด้วยการคุมกลไก ระบบข้าราชการประจำ หรือในเรื่องการบริหารที่ทำให้ได้แต้มสส.มากขึ้น  ก็สามารถพลิกขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาลขึ้นได้ อาจจะบริหารได้ดีกว่าพรรคเพื่อไทย

ส่วนสมการที่รองลงมา คือพรรคกล้าธรรม ที่กำลังเติบโต ส่วนจะเป็นแขนขากลไกให้ใคร ก็ต้องว่ากันอีกที

- การเติบโตของพรรคกล้าธรรม ที่กำลังได้แต้ม ได้คนมาเข้าพรรคเพิ่มเติม การสะสมตัวเลขของพรรค มีจุดประสงค์อะไร

ทั้งหมดมีสามปัจจัย พรรคกล้าธรรมต้องยอมรับว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรค  ออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อออกมาแล้วทิศทางการเติบโตจะไปอย่างไร แต่เมื่อพรรคชนะการเลือกตั้งซ่อมสส.เขต 8นครศรีธรรมราช มาได้ทำให้พรรคมีกำลังเป็นแต้มจริงๆ  ดังนั้นโดยส่วนตัวก็มองว่า เขาต้องมองต่อไปว่าทำอย่างไรเพื่อให้มีแต้มเพิ่มากขึ้น 

ถามว่าจะเอาแต้มสส.มากขึ้นไปทำอะไร วันนี้ เป็นช่วงจังหวะรอยต่อในการปรับครม. ดังนั้นพรรคกล้าธรรมต้องเป็นส่วนหนึ่งในสมการนี้ และต้องมองต่อไปว่าในอนาคตหากพรรคอันดับ 1 คือพรรคเพื่อไทย กับอันดับ 2 คือภูมิใจไทย ถ้าต่อรองกันแล้วตกลงกันไม่ได้ มันจะเกิดการต่อสู้ หากเอาภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล  พรรคกล้าธรรม เข้ามาทดแทน แต่จะมีเสียงอยู่เท่าไหร่

ต้องยอมรับความเป็นจริงที่ว่า เสียงในที่นี้ต้องมอง 2กรณี คือ 1.เสียงที่เป็นจริง สังกัดพรรค  กับ 2. เสียงสส.ที่ร.อ.ธรรมนัส สามารถไปเอามาได้ ไม่ว่าจะฝากเลี้ยงหรือไปดึงมาก็แล้วแต่ อย่างกรณีสส.ชลบุรี เขต 6 พรรคประชาชน เขาเป็นสส.มาได้อยู่แล้ว แต่พรรคไปดึงมา เมื่อเกิดปัญหาภายในพรรค

ดังนั้นเหตุปัจจัยตรงนี้จึงทำให้เกิดการเตรียมพร้อมของพรรคที่จะเข้าร่วม เฉพาะพรรคกล้าธรรมว่าในอนาคตเกิดการต่อรองกันแล้วไม่ตกผลึก จนต้องเกิดการที่พรรคเพื่อไทย ตัดสินใจปรับพรรคภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล สมการตัวเลขจะเป็นอย่างไร ดังนั้นต้องรู้ก่อนว่าพรรคร่วมรัฐบาล ต้องมีแต้มเหนือกว่าฝ่ายค้าน  ด้วยเหตุนี้เราจึงจะเห็นว่าไม่ว่าจะฝากเลี้ยงหรือไปดึงสส.มาก็ดี พรรคกล้าธรรม ต้องไปดึงมาจากฟากฝ่ายค้าน อย่ามาดึงจากฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเอง จึงเป็นที่มาว่า พรรคไทยสร้างไทยซึ่งอยู่ในปีกฝ่ายค้าน สส.จึงแทบจะไปกันหมดแล้ว

และเท่าที่รู้มาพรรคร่วมรัฐบาล  ทั้งรวมไทยสร้างชาติ และภูมิใจไทยเองก็ต้องการดึงสส.จากฝ่ายค้านด้วยเหมือนกัน แต่จะไปทำจุดไหน แต่ร.อ.ธรรมนัส ดึงมาได้ ซึ่งต้องยอมรับว่า มีฝีมือจริง

-คดีความของคุณทักษิณ ทั้งกรณีชั้น 14 และคดีมาตรา 112 จะกระทบต่อรัฐบาลและนายกฯแพทองธารมากน้อยแค่ไหน

กระทบแน่นอน หากผลการพิจารณาออกมาในทางลบ เพราะความเชื่อมั่นของประชาชน มีต่อคุณทักษิณ มากกว่านายกฯแพทองธาร ด้วยความที่เป็นคนที่เคยประสบความสำเร็จในทางการเมือง เคยอยู่มา หลายพรรค ถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองแบบฉับพลันกอาจจะวัดไม่ได้ว่า จะเป็นนายกฯต่อไป หรือเป็นไม่ได้ เนื่องจากคนไม่เลือก แต่มันยังไปไม่ถึงจุดนั้นเนื่องจากมีเหตุเสียก่อน และมีคดี

การที่คุณทักษิณ กลับประเทศไทยมาได้นี่ก็ไม่ธรรมดา นี่คือการเมืองที่มองไม่เห็น ส่วนกรณีนายกฯ หากมีองค์กรหนึ่ง องค์กรใด หรืออำนาจที่มองไม่เห็น ต้องการให้คุณทักษิณ หลุดไปจากการเมืองอีก ก็เป็นคำถามขึ้นมาอีกว่า แล้วทำไม เมื่อ2ปีที่แล้ว ทำไมกลับมาได้ การกระทบต่อรัฐบาลนั้นมีแน่นอน

แต่อย่างไรก็ตาม กระบวนการที่จะใช้นิติรัฐ นิติธรรมกับกรณีนี้ยังไม่รวดเร็ว ภายในอายุของรัฐบาลนี้ได้ ยังมีช่องทางในการต่อสู้ แต่ก็ทำให้รัฐบาลนี้ ขาดความเชื่อมั่น และนี่คือหนึ่งในหลายปัจจัยที่ทำให้นายกฯแพทองธาร แม้จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ก็ไม่สามารถคอนโทรล พรรคร่วมรัฐบาลได้ เพราะศูนย์อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่คุณทักษิณ

สังเกตหรือไม่ว่าตอนที่คุณแพทองธาร ยังไม่ได้เป็นนายกฯนั้น คุณทักษิณ  ยังนำเสนอแนวความคิดต่างๆไม่เต็มที่ หรือการเสนอแนวทางการบริหารประเทศต่อสาธารณะ พออยู่มาสักพัก ก็ไม่ได้อิดเอื้อน อีกต่อไป คนก็ยอมรับได้ เพราะความเป็นจริงคนรักก็มี คนไม่รักก็ยังมี

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าบทบาท หากมีการให้คุณทักษิณ กลับเข้ามาแล้วใช้ความรู้ความสามารถเพื่อการปรองดอง และเพื่อให้การบริหารเป็นไปได้อยู่ในกรอบแค่ไหนหรือเกินกรอบหรือไม่ แต่เชื่อว่าตัวคุณทักษิณจะใช้ความรู้ ความสามารถที่มีอยู่ประคับประคองรัฐบาล ไป ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น จะไม่มีการยุบสภา

และขอบอกเลยว่า การยุบสภาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีกระบวนการ เหนือไปกว่าการที่นายกฯแพทองธารจะทำอีก  เชื่อว่าถ้าไม่ได้รับสัญญาณพิเศษ ยังยุบไม่ได้

แต่ถ้ามีเหตุอันเป็นไปเฉพาะของนายกฯแพทองธาร แล้วว่ากันด้วยเรื่องของคนที่จะเข้ามาเปลี่ยน แต่ก็ต้องถามต่อไปอีกว่า คนที่จะเข้ามาเปลี่ยน เขาอยากมาเป็นตอนนี้หรือไม่ หรือจะรอให้ไปถึงปี 2570 ให้มีการเลือกตั้ง แล้วอยู่ได้ยาวๆดีกว่าหรือไม่

แต่ก็มีคำถามอีกว่า เมื่อถึงตอนนั้นการเมืองจะมีอะไรแน่นอน สู้เข้ามาเปลี่ยนตอนนี้ก่อนดีกว่าหรือไม่ มีหลายกระแสด้วยกัน

และการที่ประเทศอยู่ในลักษณะอึมครึม เพราะว่า ในสมัยนั้นพรรคไทยรักไทย ทำให้มีคนเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี แต่เมื่อมาในยุคหลังแล้ว มันไม่เห็นสภาพแบบนั้น แต่คนอาจจะถามว่า ก็คุณทักษิณ กลับมาแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าทำได้ไม่เต็มไม้ เต็มมือ มีสิทธิได้แค่นำเสนอ บริหารโดยตรงไม่ได้ จึงส่งผลกระทบถึงรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะสกุลเดียวกัน

เพียงแต่ต้องประคับประคองกันไป2ปีจากนี้ เมื่องบประมาณยังไม่ออก จึงยังไม่สามารถบริหารงบประมาณในกระทรวงนั้นๆได้ ยังไม่สามารถให้สส.หรือรัฐมนตรี ในพรรคแสดงผลงานเป็นที่ประจักษ์จนเป็นที่ประทับใจ จนทำให้มั่นใจได้ว่าจะกลับมาสู่การเลือกตั้งได้อีก

ฉะนั้นในขณะนี้สรุปได้ว่า คุณทักษิณจะได้รับผลกระทบหากเป็นไปในทางลบ จะเป็นลบต่อรัฐบาลด้วย แต่จะลบอย่างไรก็แล้วแต่ รัฐบาลยังไม่ไปในระยะอันสั้นนี้แน่ ประการต่อมา คุณทักษิณและนายกฯแพทองธาร ต้องประคับประคองเพื่อสร้างผลงานให้กับพรรคเพื่อไทย ต้องได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในสถานการณ์นี้ต้องอยู่กันไป อะไรที่ไม่เห็นด้วยก็ต้องสู้กันในหลักการ

เว้นแต่จะมีอีกทางคือการขับพรรคภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล แต่ต้องดูต่อไปอีกว่าหากขับไปแล้วจะทำให้รัฐบาลอยู่ได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

-ในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ2569 มีข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยจะโหวตคว่ำ

ผมไม่เชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยจะโหวตคว่ำร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2569  การคว่ำโหวตพ.ร.บ.งบประมาณฯ ในสภาผู้แทนราษฎร จาก 495 เสียง ภูมิใจไทยมี 69 สส. และหากโหวตคว่ำ ต้องคิดต่อไปอีกว่า ในสภา รวมพรรคอื่นๆ แม้กระทั่งฝ่ายค้านจะยกมือเห็นด้วยหรือไม่ เพราะเสียงข้างมากก็ถือว่าชนะแล้ว

เพราะหากภูมิใจไทย ไม่โหวตให้ 69 เสียง แต่มีสส.จากพรรคอื่น ไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ก็อาจจะยกมือให้หรือไม่  และที่มีข่าวว่า หากไม่ผ่านก็จะตกไปในวาระที่ 1 ประเด็นต่อมา แม้ผ่านสภาไปได้ ก็จะต้องไปดูต่อเมื่อไปถึงสภาสูง ซึ่งสว.ส่วนใหญ่ถูกมองว่ามีความใกล้ชิดกับพรรคภูมิใจไทย

ถ้าสภาสูงไม่เห็นชอบ ก็ยังไม่ถือว่าเป็นที่สุด เพราะต้องกลับมาที่สภาล่าง ตั้งคณะกรรมาธิการร่วมฯ รอเวลาเพื่อยืนยันต่อไปว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ถูกแล้ว แต่จะทำให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณของแต่ละกระทรวง อาจจะได้น้อยลงไป ซึ่งไม่มีกระทรวงไหนที่ไม่อยากได้งบประมาณ เว้นแต่เป็นฝ่ายค้าน ซึ่งก็ต้องเห็นแก่ภาพรวม ขณะที่พรรคภูมิใจไทยเองเป็นรัฐบาล มีกระทรวงต่างๆอยู่ในมือ รองบประมาณเหมือนกัน  คนที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ก็ไม่ได้งบประมาณ 

แต่ถ้ามีการโหวตคว่ำกันขึ้นมาจริงๆ ก็ยุบสภา แต่ในเมื่อเป็นร่างกฎหมายการเงิน หากไม่ผ่านสภาฯ  โดยหลักการแล้ว รัฐบาลต้องลาออก พ้นไปทั้งคณะ ไม่มีสิทธิกลับมายุบสภาอีกแล้ว ดังนั้นโดยส่วนตัวจึงไม่เชื่อว่าพรรคภูมิใจไทย จะโหวตคว่ำ และเหตุการณ์หากเกิดจริง ก็ไม่เชื่อว่านายกฯจะใช้อำนาจ ตัดสินใจยุบสภา เพราะหมดอำนาจไปแล้ว