กองทัพกำลังถูกจับตามองว่า จะเป็น “ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก” ให้กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่น ทางการเมือง จากปัญหาพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งกลุ่มกดดันจากภายนอก และ ผู้ต่อต้านระบอบทักษิณ มายาวนานที่ยังคงเคลื่อนไหวโจมตีอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการตรวจสอบ เรื่องการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 จนถูกมองว่า ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กำลังเพลี่ยงพล้ำในสถานการณ์นี้
จึงทำให้กองทัพซึ่งเป็นฐานอำนาจและเขี้ยวเล็บของขั้วอนุรักษ์นิยมกำลังกลายเป็น หลังอิง ที่แข็งแกร่งที่สุดของรัฐบาลนี้ที่เกิดจากการดีล ระหว่าง นายทักษิณกับคีย์แมนของขั้วอนุรักษ์นิยม
แต่ทว่า กลุ่มอีลีท หรือขั้วอนุรักษ์นิยม ที่มีหลายสาขาหลายขั้วไม่ได้ร่วมในดีลนี้ ทั้งหมดและจำนวนไม่น้อย ที่ยังคงมีความแค้นเคืองกับ ทักษิณ แบบไม่มีวันให้อภัย หรือแม้แต่ พวกที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร 2 ครั้ง ทั้ง 19 ก.ย.2549 และ 22 พ.ค.2557 ที่เป็นการสะท้อนว่า ศัตรูเก่าของ ทักษิณ ที่ไม่ได้ร่วมในดีล ยังคงแอคทีฟ และมีพลังในการเคลื่อนไหว ที่อาจสร้างปัญหาให้ ทักษิณ และ รัฐบาล แพทองธาร ได้
จะเห็นได้ว่า ในห้วงที่ผ่านมาทั้งนางสาวแพทองธาร และ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหมให้ความสำคัญกับบทบาทกองทัพในการดูแลด้านงานความมั่นคงทั้งการที่นายกฯ แต่งตั้ง “บิ๊กอ๊อบ” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้ดูแลการแก้ไขปัญหาชายแดนในนามของ ศอ.ปชด.
รวมถึงการพูดคุยใกล้ชิด การประชุมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพหรือแม้แต่การที่นางสาวแพทองธาร ไปรับฟังการแก้ปัญหาชายแดน ที่กองบัญชาการกองทัพบก โดย มีผู้บัญชาการเหล่าทัพ มาร่วมด้วย
โดยเฉพาะกับ “บิ๊กปู” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ที่ ทั้ง นายกฯ และ ภูมิธรรม ก็พยายามกระเถิบเข้าใกล้ เพราะรู้ดีว่าสำหรับโครงสร้างกองทัพไทยแล้ว ผบ.ทบ. คือผู้ที่มีพลังอำนาจมากที่สุด และมีอำนาจแฝงทางการเมืองอยู่ในตัว
แต่ที่กำลังถูกจับตามองคือ เรื่องของงบประมาณและการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพที่ รัฐบาลนี้ จะไฟเขียวให้ทั้งหมด หรือไม่ในชั้นของการแปรญัตติและในชั้นของคณะอนุกรรมการและกรรมาธิการงบประมาณ
โดยงบประมาณกระทรวงกลาโหม ปี 2569 จำนวน 204,434 ล้านบาท ที่เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 4,713 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า ทั้งโครงการจัดซื้อเครื่องบิน Gripen จากสวีเดนของกองทัพอากาศ ที่ ภูมิธรรม ก็ไฟเขียวตามที่กองทัพอากาศ ได้พิจารณาคัดเลือกและเตรียมนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในปลายเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อที่กองทัพอากาศจะได้ทำสัญญาได้ตามกำหนด
จะเห็นได้ว่า ไม่มีวี่แววที่ รัฐบาลนี้ จะกดดัน ให้มีการเปลี่ยนเป็น F16 แม้จะรู้ว่าสหรัฐอเมริกายังคงพยายามที่จะให้กองทัพอากาศและรัฐบาลไทยเปลี่ยนใจหันกลับมาซื้อ F16 ก็ตาม และเป็นที่รู้กันว่าโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนไฟเขียวมาตั้งแต่ยุค เศรษฐา เป็นนายกฯแล้ว
รวมถึง โครงการเรือดำน้ำจีนของกองทัพเรือ ที่แม้ว่า ภูมิธรรม จะพยายามยื้อเวลาด้วยการขอคำตอบที่ชัดเจนจาก ทั้งฝ่ายจีนและ เยอรมันและปากีสถาน ที่ใช้เวลากว่า 8 เดือนก็ตาม แต่ในที่สุด ก็ถึงเวลาที่ นายภูมิธรรม ต้องตัดสินใจ
หลังจากที่ พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือออกมาทวงคำตอบ เมื่อเห็นว่า ภูมิธรรม ได้คำตอบครบถ้วนแล้วทั้งจากการที่ รมว.กลาโหมเยอรมัน ที่ยืนยันไม่สามารถขายเครื่องยนต์เรือดำน้ำให้กับไทยโดยตรงจากการที่ ภูมิธรรม เดินทางไปเยือนเยอรมันด้วยตนเอง
ขณะที่กองทัพเรือก็ได้รับคำตอบจากกองทัพเรือปากีสถาน ถึงผลการใช้งานเรือดำน้ำจีนใช้เครื่องยนต์จีน CHD 620 ว่าสามารถใช้การได้ดี และได้รายงานให้ ภูมิธรรม ทราบแล้ว
หลังจากที่กองทัพเรือปากีสถานตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ในการยอมเปลี่ยนใช้เครื่องยนต์จีน CHD 620 แทนเครื่องยนต์ MTU 396 ของ เยอรมัน ใส่เรือดำน้ำที่สั่งไป 8 ลำ จนการต่อเรือ ทะยอยเสร็จสิ้น และส่งเข้าประจำการ
ขณะที่ทางการจีนโดยกระทรวงกลาโหมจีน และบริษัท CSOC ที่ต่อเรือ ก็ยืนยันกับทางกองทัพเรือและนายภูมิธรรม มานานแล้วว่าหากยกเลิกโครงการก็จะไม่คืนเงิน 8,000 ล้านบาท ที่ไทยได้ผ่อนจ่ายไปในห้วงหลายปีที่ผ่านมาได้
ดังนั้น ภูมิธรรม จึงไม่อาจหลีกเลี่ยง หรือยื้อการตัดสินใจได้และประกาศที่จะให้คำตอบภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หรือ ต้นเดือนมิถุนายน
โดยคาดว่า ภูมิธรรม จะยอมเดินหน้าต่อโครงการเรือดำน้ำจีน ด้วยการเปลี่ยนใช้เครื่องยนต์จีน และนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติในการแก้ไขข้อตกลงเรื่องเครื่องยนต์และแก้ไขยืดสัญญา เวลาในการต่อเรือออกไปอีก
แต่ ภูมิธรรม ก็ยังไม่สามารถพูดชัดเจน ได้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร โดยระบุแค่ว่า มีแค่ 2 ทางเลือก คือ หาก ยกเลิกสัญญา แต่เงินที่จ่ายไป 80% แล้วจะสูญเปล่า รวมทั้ง โรงซ่อมบำรุง ที่จอดเรือดำน้ำ ที่ได้เสียเงินก่อสร้างไปแล้ว แต่ หากจะเดินหน้าต่อ ก็ต้องยอมรับเงื่อนไข และ ปัญหาที่จะตามมา
แม้ ภูมิธรรม จะไม่ได้ระบุว่าปัญหาที่จะตามมาคืออะไรแต่ที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยกังวลจนโครงการนี้มาตลอด ตั้งแต่ยุค เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ ว่าจะมีคนไปร้องเรื่องข้อกฎหมายในเรื่องการแก้ไขข้อตกลง และสัญญาเรือดำน้ำ และปัญหาเรื่องคุณภาพของเครื่องยนต์จีนในอนาคต
อีกทั้งก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทยเมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้าน ได้อภิปรายโจมตีคัดค้านโครงการเรือดำน้ำจีนนี้มาตลอด เพราะมองว่าเป็นโครงการที่เกิดขึ้นในยุคหลังรัฐประหาร ในรัฐบาล คสช.
แต่มาถึงเวลานี้ ด้วยความจำเป็นหลายประการ ทำให้ ภูมิธรรม ไม่อาจที่จะยื้อเวลา หรือแช่แข็งโครงการเรือดำน้ำต่อไปได้แล้ว ถึงเวลาต้องตัดสินใจและก็คาดกันว่า จะเดินหน้าต่อเรือดำน้ำจีน ต่อไป
ส่งผลให้บรรยากาศในกองทัพเรือมีความชื่นมื่น กลับมาอีกครั้งหลังจากที่คาดว่าจะได้รับ “ข่าวดี”ในการเดินหน้าต่อ โครงการเรือดำน้ำจีน รวมถึงการเสนอขอจัดซื้อเรือฟริเกต อีก2 ลำในปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เป็นที่จับตามองว่าในที่สุดแล้วรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะอนุมัติให้ ทร. ซื้อเรือฟริเกต
กี่ลำ เพราะแม้มีรายงานว่านายภูมิธรรม จะอนุมัติให้แค่หนึ่งลำ 1.7 หมื่นล้าน เท่านั้น แต่ พล.ร.อ.จิรพล ผบทร. ยังคงให้สัมภาษณ์ยืนยันว่ากองทัพเรือจะเสนอขอ 2 ลำ
ทั้งนี้อาจเป็น เพราะเห็นว่า นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานกรรมาธิการทหารฯ สภาผู้แทนราษฎร แกนนำพรรคประชาชนสนับสนุนให้กองทัพเรือต่อเรือฟริเกต เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเรือภายในประเทศ ก็คิดว่าโครงการจะผ่าน ก็ตาม แต่สำคัญที่คณะกรรมาธิการงบประมาณและอนุกรรมการ ICT ที่จะตัดงบฯ
และเป็นที่ตั้งข้อสังเกตว่า ในยามที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ต้องการการสนับสนุนจากกองทัพ ก็อาจจะต้องยอมเอาใจกองทัพ ด้วยการไฟเขียวโครงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เพราะสำหรับกองทัพเรือก็ถือว่าโอโปลหากได้เดินหน้าเรือดำน้ำจีนต่อ และยังได้ต่อเรือฟริเกต ใหม่ด้วย
ขณะที่กองทัพอากาศ ก็ผ่านฉลุยโครงการจัดซื้อเครื่องบิน Gripen งบประมาณกว่า 6 หมื่นล้านบาท
ส่วนกองทัพบก ก็มีโครงการจัดซื้อ เฮลิคอปเตอร์ BlackHawk และ รถเกราะ Stryker จากสหรัฐฯ ที่รัฐบาลสนับสนุนเพราะจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่รัฐบาลใช้ในการเจรจาต่อรองเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ
อีกทั้งในช่วงที่มีสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาที่ชายแดน ก็ส่งผลบวกต่อการสร้างคะแนนนิยมของกองทัพและการสนับสนุนจากประชาชนในการสร้างความแข็งแกร่งให้กองทัพโดยเฉพาะการเสริมสร้างอาวุธยุทธโธปกรณ์เพื่อเตรียมความพร้อมรบ
ดังนั้นในภาพรวม จะเห็นได้ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้ขัดแข้งขัดขากองทัพ แต่ไฟเขียวในสิ่งที่สามารถให้ได้ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างนายภูมิธรรม กับกองทัพ และรัฐบาลกับกองทัพ ให้เป็นหลังอิง ต่อไป
เพราะสำหรับนายภูมิธรรม เองก็ต้องการสร้างคะแนนนิยม ในการนั่งเก้าอี้ “สนามไชย1” ต่อไปเพราะรู้ดีว่าเก้าอี้นี้ ยังเป็นที่หมายปอง ของอดีตทหารเก่า หลายคนหรือ แม้แต่พลเรือน ที่อยากมาคุมกลาโหม ด้วยนั่นเอง