"มูลนิธิเด็กเยาวชนฯ"  เดินหน้าปกป้องเด็ก 17 ผู้เสียหายคดีสมรักษ์ ยันดำเนินคดีถึงที่สุด  โต้ไม่มีการเรียกร้องให้แต่งงาน สินสอด 1.8 ล้านแล้วจบเรื่อง  เตรียมรวบรวมพยานหลักฐานปกป้องสิทธิผู้เสียหาย  

จากกรณีที่นายสมรักษ์  คำสิงห์  ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ปรากฏในสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์หลายแขนง  สาระสำคัญระบุว่า  “ความคืบหน้าคดีพรากผู้เยาว์เด็ก 17 อีกฝั่งจะยอมจบคดี ปิดคดี ถ้ายกขันหมากมาสู่ขอแต่งงาน ด้วยเงิน 1.8 ล้าน แต่ตนมองว่ามันไม่ถูก ก็จะสู้คดีต่อไป” นั้น 

นายชูวิทย์  จันทรส  เลขาธิการมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า  คดีนี้ทางมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว ได้เข้าเป็นทนายโจทย์ร่วม  เรายืนเคียงข้างผู้เสียหายตั้งแต่ต้น ข้อเท็จริงมิได้เป็นตามที่นายสมรักษ์ กล่าวอ้างเลย เพราะทนายของมูลนิธิและเจ้าหน้าที่ได้พูดคุยกับเด็กผู้เสียหายและครอบครัวมาโดยตลอด  ยืนยันได้ว่าไม่มีการพูดให้ยกขันหมากมาสู่ขอแต่งงานแล้วจะยอมจบคดี  ส่วนในเรื่องเงิน 1.8 ล้าน นั้น เป็นค่าเสียหายทางแพ่งตามสิทธิว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 44/1 ให้สิทธิผู้เสียหายตามกฎหมายอยู่แล้ว  มิใช่เป็นเงินค่าสินสอดเพื่อแต่งงานแล้วจบเรื่องแต่อย่างใด  

นายชูวิทย์ กล่าวว่าเรื่องนี้ ศาลจังหวัดขอนแก่นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 ม.ค.2568 ในคดีที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมรักษ์ คำสิงห์ จำเลยที่ 1 และนายพิเชษฐ์ จำเลย 2 ในข้อหาร่วมกันพรากผู้เยาว์กว่า 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย, ร่วมกันพาบุคคลอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม, พยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี โดยการใช้กำลังประทุษร้ายโดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หลังนายสมรักษ์กระทำอนาจารและล่วงละเมิดทางเพศหญิงอายุ 17 ปี เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.2566   ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่ามีน้ำหนักรับฟังได้ว่าผู้เสียหายเบิกความตามข้อเท็จจริง สอดคล้องกับผลการตรวจพิสูจน์บาดแผลของผู้เสียหาย ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ระบุว่าผู้เสียหายยินยอมขัดกับคำเบิกความ พยานแวดล้อม รวมถึงบาดแผลที่พบ นอกจากนี้การนำสืบยังไม่พบว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังและหักล้างพยานโจทก์ได้  ศาลจึงพิพากษาจำคุกรวม 4 ปี 8 เดือน แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี 13 เดือน 10 วัน และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมเป็นเงิน 170,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีตั้งแต่กระทำการละเมิด  นี่คือคำพิพากษาศาลชั้นต้น  ซึ่งนายสมรักษ์ก็มีสิทธิที่จะต่อสู้ต่อไปอีกในชั้นอุทรณ์ และฎีกา

​“แต่การออกมาให้ข่าวที่ไม่เป็นความจริงเช่นนี้  ได้สร้างความกระทบกระเทือนจิตใจให้กับเด็กผู้เสียหายและครอบครัวอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง   และยังทำให้สังคมเข้าใจผิดคิดไปได้ว่าเป็นกระบวนการเรียกรับเงิน ส่งผลให้มีการประณาม ด่าทอในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆนานาทั้งที่ไม่เป็นความจริง  จึงอยากให้สังคมได้เข้าใจรู้ข้อเท็จจริงก่อนที่จะเกรี้ยวกราดตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม  นอกจากเป็นการถูกกระทำซ้ำแล้วอีกด้านหนึ่งยังทำให้ผู้ก่อเหตุ ย่ามใจ  ไม่สำนึกผิดในสิ่งที่ทำด้วย  หลังจากนี้ทางทีมทนายจะรวบรวมพยานหลักฐาน  เพื่อปกป้องสิทธิผู้เสียหาย เพราะเด็กและครอบครัวบอบช้ำมามากพอแล้ว” นายชูวิทย์ กล่าว