เมื่อวันที่ 22 พ.ค.68 นายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij" ระบุว่า  ราคาหุ้นตํ่ากว่าบุ๊คแปลว่า…?
ตัวเลข GDP ไตรมาส 1 ของไทยที่บวก 3.1% (YoY) มีผลหลักจากการเร่งนำเข้าสินค้าโดยอเมริกา เป็นเงาสะท้อน GDP ของอเมริกาในช่วงเดียวกันที่ติดลบ -0.3%  QoQ (เพราะส่งออกของเรา = นำเข้าของเขา)
แต่ของไทยที่น่าเป็นห่วงคือการบริโภคที่โตช้า และการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่แทบไม่โตเลย โดยที่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตภาคอุตสาหกรรมเราถดถอยลงเรื่อยๆ สะท้อนความล้าหลังภาคการผลิตของไทย
ในมุมตลาดหุ้น สิ่งที่สะท้อนความจริงนี้ชัดแจ้งมากคือการเปรียบเทียบราคาหุ้นกับ Book Value หรือมูลค่าทางบัญชีของบริษัท
Book Value หรือ มูลค่าตามบัญชี มองได้เสมือนเป็นมูลค่าพื้นฐานของบริษัท คือมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด หักหนี้ทั้งหมด เขาเรียกด้วยว่า ‘ส่วนของผู้ถือหุ้น’
มาลองดูราคาหุ้นไทยบางตัวเทียบกับ Book Value 
ปตท. (0.77x) 
ไทยยูเนี่ยน (0.86x) 
ไทยออยล์ (0.38x) 
ซีพีเอฟ (0.87x) 
แลนด์แอนเฮาส์ (0.97x) 
อมตะ (0.83x) 
บ้านปู (0.43x)
โดยที่ P/BV ของ SET โดยรวมคือเพียงแค่ 1.09x (ตํ่ามาก) ในขณะที่ P/BV ของ S&P500 คือ 5.0x!! แม้ของ Indo ยังประมาณ 2.0x
ตัวอย่าง P/BV หุ้น US คือ Chevron 1.7x Tesla 15x Amazon 7x JPMorgan 2.1x
ที่ตํ่ากว่าบุ๊คก็จะมีอย่าง GM 0.7x ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีปัญหาไม่สามารถแข่งขันได้
สรุปว่าตลาดหุ้นไทยปัจจุบันราคาหุ้นเทียบกับบุ๊คตํ่ามาก มีความหมายว่าอย่างไร?
ตามทฤษฎีเขาจะบอกว่าหุ้นตํ่าบุ๊คคือหุ้นถูก แต่ตามจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น 
วันนี้ในตลาดหุ้นไทย ที่ตํ่าบุ๊คน่าจะหมายความว่ามูลค่าตามที่ปรากฏในบัญชีไม่น่าเชื่อถือ หรือบริษัทมีแนวโน้มจะขาดทุนในอนาคตซึ่งจะทำให้ BV ลดลง หรือนักลงทุนเพียงคิดว่าทรัพย์สิน และเงินที่บริษัทลงทุนไป ไม่สามารถทำกำไรให้บริษัทได้
ตามจริงนักลงทุนมีน้อยคนที่ซื้อหุ้นตาม BV เราลงทุนต่อเมื่อเราเชื่อว่าบริษัทจะมีกำไร ซึ่งการมีทรัพย์สินเยอะๆไม่ได้หมายความว่าจะมีกำไร
และการใช้ BV ในการประเมินมูลค่าหุ้น อาจจะใช้ไม่ค่อยได้กับประเภทธุรกิจที่ไม่ต้องมีทรัพย์สินเยอะ เช่นอุตสาหกรรมเทค ธุรกิจบริการ หรือธุรกิจที่พึ่งพา intangible asset เช่น ‘brand’ ในกรณีนี้ ราคาหุ้นควรสูงกว่า BV มากกว่าประเภทที่ต้องใช้ tangible  asset เยอะ (ดูอย่าง Tesla หรือ Amazon)
ในกรณีของไทย ราคาหุ้นที่ตํ่า สะท้อนบรรยากาศการลงทุนและเศรษฐกิจโดยรวมที่ไม่ดี ทำให้นักลงทุนเมินแม้บริษัทที่มีคุณภาพ
แต่ในตลาดไทยก็ยังมีหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาสูงกว่าบุ๊คนะครับ เช่น Gulf (2.2x) และ AOT (4.9x) ซึ่งหมายความว่านักลงทุนเห็น ’ปัจจัยพิเศษ‘ บางอย่างที่ทำให้สองบริษัทนี้มีมูลค่าเหนือมูลค่าที่ปรากฏในบัญชี
แต่เหตุผลเดียวกันนั้นอาจมีส่วนทำให้บริษัทอื่นๆมีราคาตํ่ากว่าบุ๊คกันหมดก็เป็นได้