ครม.ไฟเขียวแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้าน ลุยโครงสร้างพื้นฐาน-หนุนท่องเที่ยว-ช่วยเกษตรกร-SME

       
  เมื่อวันที่  20 พฤษภาคม 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาทตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมาแล้ว ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและคมนาคม การท่องเที่ยว การลดผลกระทบส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ ตลอดจนเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ
       
  โดยมีเป้าหมายกระจายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อรักษาการจ้างงาน และวางรากฐาน ซึ่งใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 งบกลาง รายการค่าใช้จ่าย เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
    
     โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ข้อเสนอโครงการ/มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.1) โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ ประกอบด้วย (1) ป้องกันอุทกภัยในช่วงฤดูฝน และกักเก็บน้ำไว้สำหรับฤดูแล้ง (2) กระจายน้ำไปยังชุมชนและพื้นที่ต่าง ๆ ผลิตเพื่อสนับสนุนภาคเกษตรในพื้นที่ทั่วประเทศและ (3) พัฒนา/ปรับปรุงระบบประปา ด้านคมนาคม ประกอบด้วย (1) แก้ไขปัญหาด้านการจราจรในพื้นที่ที่เป็นคอขวดและขาดความเชื่อมโยง (Bottleneck/Missing Link) (2) เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง (3) แก้ไขปัญหาจุดตัดระหว่างทางรถไฟและถนนเสมอระดับ (4) ก่อสร้าง/ปรับปรุงจุดพักรถบรรทุกเพื่อให้สามารถบังคับใช้พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 และ (5) ปรับปรุง/พัฒนาถนนเชื่อมโยงเมืองรอง แหล่งท่องเที่ยวและพื้นที่การผลิต 1.2 ) การท่องเที่ยวด้านการพัฒนาภาคการท่องเที่ยว ประกอบด้วย (1) ปรับปรุง/พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องน้ำ ห้องพัก สถานที่ป้ายบอกทาง (2) พัฒนาระบบอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว (3) พัฒนาและยกระดับความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว อาทิ การติดตั้งระบบ CCTV ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ และ (4) กระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองรอง 1.3) ลดผลกระทบภาคการส่งออก/เพิ่มผลิตภาพด้านการเกษตร เพิ่มผลิตภาพทางการเกษตร อาทิ การสนับสนุนให้เกษตรกร และผู้ประกอบการ SMEs ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูกให้เหมาะสม
      
   ด้านการลดผลกระทบแรงงาน สนับสนุนมาตรการการเงินการคลังสนับสนุนสินเชื่อ(เฉพาะผู้ประกอบการส่งออก) เพื่อส่งเสริมการจ้างงานให้กับกองทุนประกันสังคม ด้านดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล เพื่อสนับสนุนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลและการค้าระหว่างประเทศ 1.4) เศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ กองทุนหมู่บ้าน (SML) สนับสนุนงบประมาณแก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เพื่อเป็นแหล่งเงินให้กับประชาชนในพื้นที่ และพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โครงการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ พัฒนาเศรษฐกิจ และการพัฒนาชุมชนที่เป็นความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ในพื้นที่ โครงการการพัฒนาทุนมนุษย์ด้านการศึกษาเพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้กับประเทศ 2. การกำกับติดตามผลการดำเนินงาน รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน เป็นประธานอนุกรรมการ เพื่อกำกับและติดตามผลการดำเนินงานของโครงการและมาตรการต่าง ๆ ตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ ตลอดจนรายงานผลการดำเนินการต่อคณะกรรมการฯ ทราบต่อไป 3. แหล่งเงินในการดำเนินโครงการ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ วงเงินไม่เกิน 157,000 ล้านบาท 4. ระยะเวลาดำเนินการ การจัดทำข้อเสนอโครงการและคำของบประมาณ ให้หน่วยรับงบประมาณจัดทำข้อเสนอโครงการตามแบบฟอร์มการพิจารณาโครงการตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2568 ที่กำหนด โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล เพื่อเสนอคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาตามที่คณะกรรมการฯ ได้มอบหมาย พร้อมทั้งเสนอโครงการดังกล่าวต่อสำนักงบประมาณในคราวเดียวกันด้วยภายในเดือนพฤษภาคม 2568
    
   5. การพิจารณาอนุมัติโครงการ คณะกรรมการฯ รวบรวมข้อเสนอโครงการที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ เพื่อพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ภายในเดือนมิถุนายน 2568การขอรับจัดสรรงบประมาณ: หน่วยรับงบประมาณนำส่งโครงการที่คณะรัฐมนตรี อนุมัติให้สำนักงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณจะพิจารณารายละเอียดโครงการและจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 ภายในเดือนกรกฎาคม 2568
      
   นายจิรายุ กล่าวต่อไป ว่านายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยการเร่งรัดการใช้จ่ายผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถดำเนินการได้
     
    โดยจะส่งผลให้เกิดการจ้างงาน กระจายรายได้ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในทุนมนุษย์และการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการยกระดับขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และวางรากฐานการพัฒนาในระยะยาว ภายใต้การติดตามแผนการขับเคลื่อน ฯ อย่างรอบคอบ เพื่อให้การใช้งบประมาณ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
       
  ที่ทำเนียบรัฐบาล วันเดียวกัน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงการเปลี่ยนแปลงแนวทางโครงการ "ดิจิทัลวอลเล็ต" เฟส 3 ว่า รัฐบาลยังไม่ได้ยกเลิกโครงการนี้ แต่จำเป็นต้องชะลอการดำเนินการ เนื่องจากเกิดปัจจัยแทรกซ้อนจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
       
  "เราไม่ได้ล้มเลิกโครงการนี้ แต่สถานการณ์เปลี่ยน เราต้องปรับตัว เราอยากใช้เงินก้อนนี้ให้เกิดผลสูงสุดกับประเทศก่อน หากเศรษฐกิจดีขึ้น เราพร้อมกลับมาทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต่อ" นายกฯกล่าว
      
   เมื่อถูกถามถึงผลกระทบต่อฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย จากการที่นโยบายหาเสียงยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่สัญญาไว้ นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ขณะหาเสียง พรรคประเมินแล้วว่าโครงการสามารถทำได้จริง แต่ไม่มีใครคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่า จะเจอปัญหากำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ที่มีอัตราสูงถึง 30-40% ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
     
    นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า เงินงบกลางจำนวน 1.57 แสนล้านบาทดังกล่าว ต้องใช้ให้หมดภายในวันที่ 30 กันยายนนี้ และเป็นการวางแผนในระยะสั้น ขณะที่นโยบายสู้กับกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ยังอยู่ระหว่างการวางแผนระยะกลางและระยะยาว โดยบางส่วนของเงินดังกล่าวจะถูกนำมาใช้เป็นรูปธรรมก่อน และจะมีงบเพิ่มเติมซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดต่อไป