การกลับมาของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังระเหเร่ร่อนในต่างแดนนานกว่า 15 ปี เป็นเหตุการณ์ที่เขย่าการเมืองไทยตั้งแต่ปลายปี 2566 และสร้างข้อถกเถียงใหม่ทั้งในมิติ “กฎหมาย” และ “การเมือง” โดยเฉพาะกรณี คดีชั้น 14 และคดีมาตรา 112 จากการให้สัมภาษณ์ในต่างประเทศเมื่อปี 2558

ท่ามกลางคำถามจากสังคมว่า “ทักษิณจะต้องกลับเข้าเรือนจำอีกหรือไม่?” และมีเงื่อนไขใดบ้างที่อาจทำให้นายทักษิณรอดจากการถูกคุมขัง และจะเกิดผลกระทบอะไรติดตามมา

คดีทักษิณถูกกล่าวหาผิด ม.112 คืออะไร? ทำไมสำคัญ?

คดีนี้สืบเนื่องจาก การให้สัมภาษณ์ของนายทักษิณกับสื่อต่างประเทศ ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ อัยการเห็นว่าคำกล่าวดังกล่าวเข้าข่ายความผิด มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา จึงออกหมายจับตั้งแต่ปี 2558

หลังนายทักษิณเดินทางกลับไทยในปี 2566 คดีนี้ถูกนำมาดำเนินการต่อ โดยศาลได้นัดให้ ไต่สวนจำเลยในวันที่ 18 มิถุนายน 2568

โดยเงื่อนไขที่อาจทำให้นายทักษิณรอดจากการติดคุกในคดีนี้ อยู่ที่การตีความคำให้สัมภาษณ์ของนายทักษิณ หากทีมทนายสามารถ พิสูจน์ได้ว่าไม่ได้มี เจตนาใดต่อสถาบัน หรือคำพูดถูกตีความเกินจริง ก็มีโอกาสให้ศาลวินิจฉัยว่า ไม่เข้าข่ายความผิดตาม ม.112

รวมถึงเจตนาและบริบทของคำพูด หากนายทักษิณสามารถอธิบายเจตนาได้ว่า “ไม่มีความมุ่งหมายในการหมิ่นสถาบัน” หรือพูดในบริบททางการเมือง ไม่ใช่การดูหมิ่นโดยตรง อาจช่วยลดน้ำหนักของคำฟ้องได้

และก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า คณะกรรมการพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมของกระทรวงยุติธรรม ได้รับคำร้องจากฝ่ายกฎหมายของทักษิณแล้ว หากคณะกรรมการเห็นว่าคดีมีประเด็นขัดต่อหลักนิติธรรม หรือกระบวนการสอบสวนมีปัญหา อาจเป็นเหตุให้ศาลพิจารณายกฟ้อง

ตลอดจนการใช้ข้ออ้างเรื่องสุขภาพและอายุของจำเลย ที่แม้ศาลจะเห็นว่าายทักษิณมีความผิด แต่ในกรณีที่จำเลยมีอายุมาก (ปัจจุบัน 75 ปี) และมีปัญหาสุขภาพ ซึ่งเคยเป็นเหตุผลในการพักโทษในคดีก่อนหน้านี้ ก็อาจทำให้ศาล ลงโทษแบบรอลงอาญา หรืออนุญาตให้ประกันตัวได้

คดีชั้น14 กับโอกาสรอดถูกส่งตัวกลับเข้าคุกของทักษิณ

หลังนายทักษิณกลับประเทศไทยเข้ารับโทษจำคุกตามคำพิพากษา ทว่า ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ได้ถูกส่งตัวไปรักษาอาการป่วยที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ถูกคุมขังในเรือนจำตามปกติ ซึ่งกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคม

การที่นายทักษิณอาจรอดพ้นจากการถูกส่งตัวเข้าคุมขังในเรือนจำจากกรณี “คดีชั้น 14” นั้น มีเงื่อนไขหลายประการที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ของคดีนี้

1.การวินิจฉัยทางการแพทย์และหลักฐานเวชระเบียน

หนึ่งในประเด็นสำคัญคือการวินิจฉัยทางการแพทย์ที่นำไปสู่การย้ายตัวนายทักษิณจากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจ หากสามารถแสดงหลักฐานทางการแพทย์ที่ชัดเจนว่าอาการป่วยของนายทักษิณมีความรุนแรงและจำเป็นต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ก็อาจเป็นเหตุผลที่ศาลพิจารณาว่าเป็นการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และไม่เป็นการหลีกเลี่ยงโทษจำคุก

2.การปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายของกรมราชทัณฑ์

หากกรมราชทัณฑ์สามารถแสดงให้เห็นว่าการย้ายตัวนายทักษิณไปยังโรงพยาบาลตำรวจเป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนที่กำหนดไว้ โดยไม่มีการละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้นายทักษิณรอดพ้นจากการถูกส่งตัวกลับเข้าคุก

3.การพิจารณาของศาลฎีกาฯและองค์คณะผู้พิพากษา

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำสั่งให้มีการไต่สวนกรณีนี้ โดยนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 หากผลการไต่สวนพบว่าไม่มีการกระทำผิดหรือการช่วยเหลือให้นายทักษิณหลีกเลี่ยงโทษจำคุก ก็อาจส่งผลให้นายทักษิณไม่ต้องกลับเข้าคุกอีกครั้ง

4.ผลกระทบจากการพิจารณาของแพทยสภา

แม้ว่าแพทยสภาจะมีมติลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณบนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจในเรื่องจริยธรรมวิชาชีพ แต่หากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาช่วยเหลือนายทักษิณหลีกเลี่ยงโทษจำคุก ก็อาจไม่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของคดีนี้

5.การพิจารณาของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ถ้าป.ป.ช. พิจารณาแล้วไม่พบว่ามีการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการย้ายตัวนายทักษิณไปยังโรงพยาบาลตำรวจ ก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้นายทักษิณรอดพ้นจากการถูกส่งตัวกลับเข้าคุก

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของคดีนี้ยังขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องรอผลการไต่สวนและการพิจารณาในวันที่ 13 มิถุนายน 2568

หากนายทักษิณถูกดำเนินคดีชั้น 14 แล้วศาลมีคำสั่งควบคุมตัว สังคมจะจับตาว่าเขาจะกลับเข้าเรือนจำหรือใช้เหตุผลเดิมในการเข้ารักษาที่ รพ.ตำรวจอีกครั้งหรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อ “ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แรงสั่นสะเทือนที่จะเกิดขึ้นหากทักษิณ “รอดคุก” อีกครั้ง

1.กระแสสังคมและการเมืองร้อนแรง

กรณีที่ทักษิณไม่ต้องเข้าเรือนจำจากคดีชั้น 14 และคดีม.112 แม้จะมีคำฟ้อง อาจสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคม โดยเฉพาะกลุ่มที่เชื่อในความเท่าเทียมของกฎหมาย อาจมองว่าระบบยุติธรรมมี “สองมาตรฐาน” และ “อภิสิทธิ์ชน”

2.ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม

คดีนี้ถือเป็นบทพิสูจน์ความเป็นกลางของศาลและอัยการ หากประชาชนมองว่า “อำนาจการเมืองแทรกแซง” ได้ อาจกระทบความศรัทธาในระบบนิติรัฐ

3. รัฐบาลกระเพื่อม

 ถึงนายทักษิณจะไม่มีตำแหน่งในรัฐบาลโดยตรง แต่ภาพลักษณ์ของเขายังผูกกับ พรรคเพื่อไทย และรัฐบาลปัจจุบัน การรอดคุกอีกครั้งอาจกลายเป็น “จุดอ่อนทางการเมือง” ที่ฝ่ายค้านและประชาชนใช้โจมตีในระยะยาว

4.ผลกระทบต่อคดีอื่นในอนาคต

หากคดีชั้น 14 กลายเป็นกรณีตัวอย่างที่จำเลยหลุดจากความผิดได้โดยอ้างเหตุเจตนา บริบท หรือสุขภาพ อาจส่งผลต่อแนวทางการบังคับใช้กฎหมายในอนาคต

แล้วถ้า “ไม่รอด”? ทักษิณต้องเข้าคุกจริงหรือ?

หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่านายทักษิณมีความผิดจริง และไม่มีเหตุให้รอลงอาญา ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ อีกครั้ง แม้จะอ้างปัญหาสุขภาพ ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลว่าจะอนุญาตให้รักษานอกเรือนจำหรือไม่

ทั้งนี้ การกลับเข้าคุกของทักษิณอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลในทางตรงกันข้าม กลายเป็นจุดแข็งที่รัฐบาลนำมาใช้ยืนยันความเป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรม

สรุปแล้วการที่นายทักษิณจะรอดหรือไม่รอด ไม่ใช่แค่เรื่องของ “กฎหมาย” เนื่องด้วยคดีชั้น 14 ของนายทักษิณ เป็นมากกว่าคดีความธรรมดา เพราะสะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่าง กฎหมาย – การเมือง – ความรู้สึกของสาธารณะ ได้อย่างชัดเจน

ถ้านายทักษิณรอดจากคดีนี้ด้วยเหตุผลทางกฎหมายที่น่าเชื่อถือและกระบวนการโปร่งใส จะเป็นการตอกย้ำความยุติธรรมและส่งเสริมศรัทธาในระบบ แต่หากสังคมมองว่าเป็นการใช้ “ช่องโหว่” หรือ “อภิสิทธิ์” ทางการเมือง ก็อาจจุดชนวนความไม่พอใจครั้งใหม่ในวงกว้าง

                                             

#ทักษิณชินวัตร #คดีชั้น14 #มาตรา112 #วิเคราะห์คดีการเมือง #รอดคุกหรือไม่ #ศาลอาญา #รพตำรวจ #ข่าวการเมืองไทย