“บมจ.สโตนวัน หรือ STX” โชว์ผลงานแกร่ง! ไตรมาสแรกโกยกำไรสุทธิอยู่ที่ 41.12 ล้านบาท พุ่งกระฉูด 267% กวาดรายได้รวมอยู่ที่ 110.08 ล้านบาท พร้อมรุกขยายอาณาจักรเหมืองแห่งใหม่ ล่าสุดปิดดีลซื้อเหมืองหินปูนที่จ.เพชรบุรี เติมคลังสำรองหินอีก 25 ล้านตัน รองรับการลงทุนเมกะโปรเจกต์ ด้านผู้บริหารย้ำ STX มีจุดแข็ง ทั้งพื้นที่ใกล้แหล่งโครงการสำคัญ ต้นทุนแข่งขันได้ พร้อมรุกกลุ่มแร่โดโลไมต์ รับดีมานด์ขยายตัว ดันมาร์จิ้นเพิ่ม  

วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 นายทรงวุธ เวชชานุเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 มีกําไรสุทธิ 41.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.92 ล้านบาท หรือเติบโต 266.99% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 24.07% เพิ่มขึ้นจาก 21.82% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและยอดขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 75.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178.34% สะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งและผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา

 ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการขยายตัวของยอดขายผลิตภัณฑ์หลัก โดยเฉพาะหินแกรนิตจากเหมืองหนองข่า ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 11 ล้านบาท สอดรับกับความต้องการของภาคก่อสร้างในพื้นที่ภาคตะวันออกและ EEC ที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้รายได้พิเศษจากการกลับรายการค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิต จำนวน 52.5 ล้านบาท จากการได้รับชำระหนี้ของลูกหนี้ค้างชำระ

โดย บริษัทมีรายได้รวม 110.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.18  ล้านบาท หรือ 0.16% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นสัดส่วนรายได้จากหินแกรนิต อยู่ที่ 47% หินปูน 40% และแร่โดโลไมต์ 20% อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้จากแร่โดโลไมต์ เนื่องจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาจากลูกค้าเดิมในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก และกระจก เป็นต้น รวมทั้ง นโยบายภาครัฐบาลที่เตรียมผลักดันยกเลิกเตาหลอมแบบอินดักชัน (IF) ส่งผลให้ความต้องการแร่โดโลไมต์ที่ใช้ในเตาหลอมแบบอาร์คไฟฟ้า (EAF) สูงขึ้นตามไปด้วย บริษัทฯ จึงมีแผนลงทุนขยายโรงงาน/เพิ่มเครื่องจักรใหม่ รองรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ที่เข้ามา คาดแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปีนี้ เป็นอีกโอกาสสร้างการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่ดี

นายทรงวุธ กล่าวต่อว่า แม้เศรษฐกิจที่ท้าทาย เราเห็นโอกาสจากมูลค่างานก่อสร้างไทยที่สูงหลักแสนล้านบาท และโครงการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนที่ยังมีต่อเนื่องในอนาคต เมื่อเทียบกับรายได้จากธุรกิจของเรา กับสเกลการลงทุนในมหภาค จะเห็นว่า บริษัทยังมีโอกาสอีกมากที่จะเติบโตในฐานะผู้นำธุรกิจเหมืองหินและแร่ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมทั้งการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ทำได้ยาก เพราะต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และใช้เงินลงทุนสูง จึงเป็นโอกาสของ STX ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เนื่องจากธุรกิจเหมืองของบริษัทอยู่ใกล้แหล่งก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ สร้างความได้เปรียบแก่บริษัท เนื่องจากต้นทุนการขนส่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน

โดยหนึ่งในกลยุทธ์การขยายธุรกิจ คือการลงทุนซื้อเหมืองใหม่เข้ามาสนับสนุนการเติบโต ล่าสุด STX ประสบความสำเร็จในการปิดดีลเข้าซื้อกิจการเหมืองหินปูนแห่งใหม่ใน อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี ซึ่งได้รับประทานบัตรแล้ว มีอายุ 29 ปี และปริมาณสำรองกว่า 25 ล้านตัน เป็นอีกก้าวสำคัญในการเพิ่มปริมาณสำรองหินอุตสาหกรรมของบริษัทรองรับดีมานด์จากเมกะโปรเจกต์ต่างๆ สร้างโอกาสการเติบโตในระยะยาว    

ทั้งนี้ STX ยังเดินหน้าการเติบโตของธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสังคม โดยในปีนี้ได้รับรางวัล Green Mining Award และการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวระดับ 3 รวมถึง CSR-DPIM จากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ตอกย้ำมาตรฐานเหมืองแร่ที่ยั่งยืน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นไตรมาส 1 อยู่ที่ 360.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนถึง 63.40 ล้านบาท สะท้อนความสามารถในการบริหารสภาพคล่อง รองรับความต้องการของประเทศที่กำลังเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในทุกภูมิภาค