"สภาพัฒน์" ส่งสัญญาณภาษีทรัมป์ ทุบเศรษฐกิจไทย แนะธุรกิจ-ประชาชนรัดเข็มขัด ใช้จ่ายรอบคอบ
วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2568 ขยายตัว 3.1 %ต่อเนื่องจากการขยายตัว 3.3% ในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2568ขยายตัวจากโตรมาสที่ 4 ของปี 2567 เศรษฐกิจขยายตัว 0.7% ตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปีนี้ แม้จะยังขยายตัวได้ดี แต่ถือเป็นสถานการณ์เกิดขึ้นเฉพาะก่อนช่วงเวลาก่อนหน้าที่จะมีภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ประกาศออกมาเมื่อต้นเดือน เม.ย. ทำให้ผู้นำเข้าสินค้าของสหรัฐฯเร่งนำเข้าสินค้าในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลต่อการส่งออกและการผลิตที่ปรับตัวดี
โดยในช่วงถัดไปสถานการณ์จะผันผวนมากขึ้น ทั้งการค้า การลงทุน และอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เศรษกิจไทยในช่วงต่อไปอาจจะชะลอตัวลง ซึ่งต้องมีการเตรียมตัวทั้งในส่วนของภาคประชาชน และภาคธุรกิจ ขณะที่รัฐบาลจะมีการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจ และแรงงานที่ได้รับผลกระทบ ด้วยเหตุนี้จึงอยากขอให้ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจต่างๆเตรียมการในส่วนของตัวเอง เพื่อรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความผันผวนและการค้าในช่วงถัดไปไว้ด้วย ขณะเดียวกันประชาชนเองก็ต้องเตรียมความพร้อมของตัวเอง ทั้งการใช้จ่ายประจำวัน คงต้องมีการใช้จ่ายให้รอบคอบเพื่อจะทำให้ทุกคนผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ รัฐบาลเองจะมีมาตรการออกมาช่วยหลายเรื่อง
โดยรัฐบาลคงต้องไปดูเรื่องการจัดเก็บรายได้ให้เพิ่มขึ้น ดูในแง่ของวินัยการเงินการคลังควบคู่ไปด้วย เพื่อรักษาช่องว่างทางการคลังที่มีอยู่ และพยายามเพิ่มช่องว่างทางการคลังด้วย ดังนั้นในช่วงถัดไปนี้ การใช้จ่ายต่างๆต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เพื่อทำให้เรามีมาตรการการคลังที่เพียงพอในการดำเนินนโยบายในกรณีที่จะเกิดผลกระทบ
ส่วนมาตรการทางการเงินที่จะมาช่วยเสริมมาตรการทางการคลังอย่างไรนั้น เรื่องนี้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ รมว.คลัง ได้หารือกันอยู่ตลอด เชื่อว่าในระยะถัดไปทั้งมาตรการการเงิน และมาตรการการคลังต้องมาช่วยเสริมกันอยู่แล้ว เพียงแต่จะมาในช่วงเวลาใดเท่านั้น และต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้นด้วย
ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังมีเครื่องยนต์ที่เป็นแรงสนับสนุนสำคัญ คือ การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายลงทุนภาครัฐ การขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่องดังนี้ 1.การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.685 ล้านล้านบาท ที่เพิ่มขึ้น 5.9% จากวงเงินงบประมาณในปีก่อนหน้า รวมทั้งกรอบงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปี รวมทั้งสิ้น 2.75 แสนล้านบาท ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปีงบ 2563 และเพิ่มขึ้น 70.6% จากปีงบประมาณก่อนหน้า
2.การขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ที่ยังมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของการใช้จ่ายในหมวดบริการ และหมวดสินค้าไม่คงทนเป็นสำคัญ
3.การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งแม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.68) จะลดลง 0.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long Haul) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น รัสเซีย ฝรั่งเศส อิสราเอล ซึ่งช่วยชดเชยนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ โดยเฉพาะจากจีน และมาเลเซียได้ ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากผลของการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่จับตาข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยง 1.ภาระหนี้สินครัวเรือน และหนี้ภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ภายใต้มาตรการสินเชื่อที่ยังคงคงเข้มงวด โดยคาดว่าในระยะต่อไป ธุรกิจ SMEs อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต รวมทั้งผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ไม่สามารถส่งออกได้ เนื่องจากนโยบายกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งจะส่งผลให้ฐานะทางการเงินของ SMEs ด้อยลง สอดคล้องกับแนวโน้มมาตรฐานการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินที่ยังเป็นไปอย่างระมัดระวัง
2.แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก โดยมีเงื่อนไขความเสี่ยงที่ต้องติดตาม และประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เช่น ความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าสำคัญ, ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก ๆ, ความยืดเยื้อและการยกระดับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์, ความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา และเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่
3.มาตรการกีดกันทางการค้าโดยการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่เรียกเก็บต่อประเทศไทย รวมทั้งภาษีนำเข้าสินค้าแบบเฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะภาษีนำเข้ายานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ เพิ่มเติมในอัตรา 25% ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยคาดว่าภาคการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับผลกระทบ อันเนื่องมาจากการลดลงของความต้องการสินค้าจากสหรัฐฯ อาทิ สินค้ากลุ่มเกษตรกรรมและเกษตรแปรรูป กลุ่มคอมพิวเตอร์ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์สื่อสาร และกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน
4.ความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคเกษตร ทั้งผลผลิต และราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ ซึ่งแม้ในปี 2568 ผลผลิตทางการเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน แต่ก็ทำให้ระดับราคาสินค้าเกษตรมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ สภาพัฒน์ ได้นำเสนอประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในช่วงที่เหลือของปี 2568 ดังนี้ 1.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว เพื่อรักษาแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐ ขณะเดียวกันควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (Fiscal consolidation) เพื่อเพิ่มพื้นที่ทางการคลังให้เพียงพอสำหรับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภายใต้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง รวมทั้งเพื่อลดความเสี่ยงจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะต่อไป
2.การดำเนินการเพื่อรองรับการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศสำคัญ เช่น การเจรจาเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนกับสหรัฐฯ, การเร่งรัดการส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่ไทยยังมีศักยภาพ, การส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสของสินค้าไทยในตลาดโลก, การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการเตรียมมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการ และแรงงาน ที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการค้าโลก
3.การปกป้องภาคการผลิตจากการทุ่มตลาด และการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้า ให้มีความเข้มงวดรัดกุมมากขึ้น การดำเนินการอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำความผิดลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมาย หลบเลี่ยงภาษี และตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุ่มตลาด รวมทั้งการใช้มาตรการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม จากประเทศผู้ส่งออกสำคัญ
4.การให้ความช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่อง เนื่องจากคุณภาพสินเชื่อปรับลดลงต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้ถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐ เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ
5.การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยให้ความสำคัญกับการเตรียมมาตรการรองรับผลผลิตสินค้าเกษตรที่จะออกสู่ตลาด ในช่วงฤดูเพาะปลูก 2568/2569 ควบคู่ไปกับการลงทุนด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
6.การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อช่วยขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง รวมถึงการเตรียมความพร้อมของปัจจัยต่างๆเช่น สนามบิน/เที่ยวบิน กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นต้น
#สภาพัฒน์ #ภาษีทรัมป์ #ข่าววันนี้ #เศรษฐกิจไทย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์