วันที่ 18 พ.ค.2568 จากกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (ODOS) โดยอนุมัติงบประมาณ วงเงิน 4,500 ล้านบาท ครอบคลุมจำนวนทุน 7,200 ทุน ให้กับเด็กที่มีผลการเรียนและความประพฤติดี ได้ไปศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือระดับ ปวช. ต่อเนื่องจนถึงระดับปริญญาตรี ทั้งภายในและต่างประเทศ ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) จำนวน 4,800 คน

ผศ. ดร.อดิศร จันทรสุข คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า การให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนเป็นสิ่งที่ดี ควรได้รับการสนับสนุน และเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ทั้งตัวของนักเรียนผู้ที่ได้รับทุนและประเทศจึงจำเป็นต้องทำอย่างรอบคอบ มององค์ประกอบและปัจจัยทั้งระบบเพื่อจะได้ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ส่วนตัวเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะกรรมการโครงการฯ บางท่านที่ได้ตั้งข้อสังเกตว่าควรจะให้ทุนเป็นสหวิชาครอบคลุมองค์ความรู้แขนงต่างๆ มากกว่าการกำหนดให้เฉพาะ STEM เพียงอย่างเดียว เพราะหลายอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทย เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมด้านเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรม Soft Power ต้องใช้ทักษะที่หลากหลายมากกว่าด้าน STEM ประกอบกับความต้องการแรงงานในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศก็มีความแตกต่างกัน และเด็กยากจนยังมีข้อจำกัดในเรื่องโอกาสการศึกษาในโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนด้าน STEM

ผศ. ดร.อดิศร กล่าวว่า ปัญหาการให้ทุนการศึกษาในประเทศไทยคือแต่ละหน่วยงานแยกกันทำ ทั้งที่การวางแผนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เหมาะสม ควรมีการทำงานร่วมกันเพื่อกำหนดกรอบทิศทางเป้าหมายว่าอะไรคือสิ่งที่ประเทศต้องการในอีก 10 – 20 ปีข้างหน้า จากนั้นจึงร่วมกันออกแบบกระบวนการให้ทุนให้ครบวงจรทั้งระบบนิเวศ (Ecosystem) ตั้งแต่ต้นน้ำ คือการรับสมัครและการเตรียมความพร้อม กลางน้ำ คือการให้ทุนและดูแลในระหว่างการศึกษา และปลายน้ำ คือมีระบบการทำงานรองรับหลังเรียนจบ

ผศ. ดร.อดิศร กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาพบว่ามีเด็กจำนวนไม่น้อยไม่สามารถปรับตัวอยู่ในวัฒนธรรมต่างแดนได้จนนำไปสู่การยุติการศึกษากลางคัน หรือเลวร้ายกว่านั้นคือการเลือกจบชีวิตตนเองในต่างแดนและลาออกกลางคัน เพราะต้องเผชิญกับเหงาและรู้สึกต่อสู้อยู่ลำพัง นั่นสะท้อนว่ากระบวนการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กนักเรียนเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ขณะเดียวกันเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว รัฐจำเป็นต้องจัดระบบรองรับเรื่องการทำงานด้วย แม้ว่าจะมีสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ทำหน้าที่นี้อยู่บ้าง แต่คงมีจำนวนไม่น้อยที่ต้องการทำงานสายเอกชนมากกว่าราชการ และนักเรียนที่เดินทางไปอยู่ต่างประเทศหลายปี เมื่อสำเร็จการศึกษากลับมาแล้วจำเป็นต้องมีระบบรองรับการปรับตัว ฝึกฝน เรียนรู้และทำความเข้าใจทั้งวัฒนธรรม การเข้าหาสังคม และรูปแบบกลไกการทำงานในสายที่ตนเองเลือกด้วย 

“ที่ผ่านมาภาครัฐมักปล่อยให้ผู้ใช้ทุนไปตายเอาดาบหน้า ดูแลสนับสนุนเพียงแค่ปัจจัยทางการเงินในระหว่างที่กำลังศึกษาแต่เมื่อจบออกมากลับปล่อยให้เด็กเหล่านี้เคว้งคว้างดิ้นรนต่อสู้ชีวิตในสังคมการทำงานลำพัง ฉะนั้นรัฐควรมีหน่วยงานผู้รับผิดชอบเพื่อดูแลเรื่องเหล่านี้โดยตรง รวมทั้งการจัดทำระบบการติดตามและประเมินผลในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทราบว่างบประมาณที่รัฐลงทุนไปนั้นได้ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากน้อยเพียงใด” คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ. กล่าว

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า โครงการให้ทุนการศึกษาส่วนใหญ่ในประเทศไทย มีเจตนารมณ์ในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งมักคิดกันอย่างเร็วๆ ว่าการให้ทุนคือคำตอบ โดยเงื่อนไขของทุนคือการมอบให้กับเด็กยากจนและมีผลการเรียนดี คำถามคือแล้วเด็กยากจนที่ผลการเรียนไม่ดีอยู่ตรงไหน เพราะไม่ได้หมายความว่าเขาเหล่านั้นจะไม่เก่ง แต่ผลการเรียนที่ไม่ดีอาจเป็นผลมาจากการถูกความเหลื่อมล้ำในมิติอื่นๆ กดทับ เช่น ความแร้นแค้นที่ต้องหาเลี้ยงตัวเองจนไม่สามารถโฟกัสเรื่องเรียนได้ ตลอดจนวัฒนธรรมดั้งเดิมของเขา เช่น เด็กชาติพันธุ์ที่มีอุปสรรคเรื่องกำแพงภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ฯลฯ ฉะนั้นควรหยิบยื่นโอกาสและทุนการศึกษาให้ถึงเด็กเหล่านี้ด้วย

“นอกเหนือจากการให้ทุนแล้ว ควรจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการปรับโครงสร้างและระบบการศึกษาที่ทำให้คนหลุดออกจากระบบหรือมีผลการเรียนต่ำ ซึ่งโดยมากไม่ได้มาจากปัญหาเกี่ยวกับสติปัญญาแต่เป็นเรื่องของระบบที่ไม่สามารถดูแลเด็กเยาวชนที่มีความแตกต่างหลากหลายได้ดีเพียงพอ” ผศ. ดร.อดิศร กล่าว