หมายเหตุ : “ภราดร พัฒนถาบุตร” อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)  วิเคราะห์การเมือง กับรายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ต่อกรณี การสอบคดีฮั้วเลือกสว.ที่กำลังดำเนินไปในขณะนี้จะส่งผลกระทบ ขยายวง ออกไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และวุฒิสมาชิกที่อยู่ในข่ายถูกตรวจสอบ เกิดเป็น “สามเส้า” จะสะท้อนการเมืองไทยออกไปในทิศทางไหน รายการออกอากาศเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568

- ปฏิบัติการตอบโต้กันระหว่างกระทรวงมหาดไทย กับดีเอสไอ สืบเนื่องจากการสอบคดีฮั้วเลือกสว. จะนำไปสู่การแตกหักของพรรคการเมืองที่อยู่เบื้องหลังตามมาด้วยหรือไม่

หากถอยฉากทัศน์กลับไป เชื่อว่าพี่น้องประชาชน เข้าใจตรงกันได้ว่าการเผชิญหน้ากันระหว่างดีเอสไอกับกระทรวงมหาดไทย จริงๆแล้วคือการเผชิญหน้าของสองพรรคการเมือง เป็นสงครามตัวแทน กระทรวงมหาดไทยเป็นตัวแทนของพรรคสีน้ำเงิน พรรคภูมิใจไทย  ส่วนดีเอสไอเป็นตัวแทนของพรรคสีแดง พรรคเพื่อไทย

ตอนนี้ มีคำถามว่าการต่อสู้ครั้งนี้สถานการณ์จะนำไปสู่การแตกหักกันแล้วหรือยัง ที่จริงถ้าดูจากเหตุการณ์ที่ต่างมุ่งดำเนินคดีกันอยู่เวลานี้ คือการแตกหักแล้ว เพียงแต่มันอยู่ในกระบวนการที่มุ่งไปสู่การแตกหักกัน เป็นการเผชิญหน้ากันเต็มที่ ฝ่ายพรรคเพื่อไทยที่ดำเนินการผ่านดีเอสไอจะเห็นได้ชัดว่านี่คือการดำเนินคดี และได้เข้าสู่กระบวนการแล้ว ซึ่งจะต้องเดินหน้ากันต่อไป

ฉะนั้นตรงนี้ ฝ่ายสีน้ำเงินที่ถูกดำเนินคดีปัญหาสว.มองเห็นแล้วว่า อีกฝั่งหนึ่งเอาแน่ ดังนั้นตัวเองก็ต้องสกัดกั้น รีบระงับยับยั้ง แล้วต้องย้อนรอยมาจัดการกับพรรคสีแดงด้วยเช่นกัน คือการไปจัดการกับตัวรองนายกฯ และรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงที่ดูแล ในกระทรวงยุติธรรม เท่ากับว่ากระบวนการกำลังเดินกันไปอยู่ทั้งสองฝ่าย ถือว่าไปสู่ขั้นแตกหัก แต่แค่ยังไม่ได้ข้อยุติ

-ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ขนาดนี้ สุดท้ายจะต้องพังทั้งคู่เลยหรือไม่

การที่จะพังทั้งคู่นั้น เชื่อว่าคงต้องมีใครพังไปก่อน และคนที่จะพังต่อ ก็จะตามไป แต่จะไม่ล้มไปทั้งกระบวนการ จากสถานการณ์ที่เราเห็นเวลานี้ กรณีที่ดีเอสไอ เข้าไปสอบคดีฮั้วเลือกสว.ที่จ.อำนาจเจริญ แล้วฝ่ายผู้ว่าฯอำนาจเจริญ ก็ร้องไปที่กระทรวงมหาดไทย ว่าดีเอสไอมาสอบสวน ทำเหมือนไม่โปร่งใส ขณะเดียวกันดีเอสไอ ก็ยืนยันว่ามีอำนาจในการดำเนินการได้ จึงกลายเป็นข้อโต้แย้งระหว่างสองกระทรวง

เรื่องนี้ถ้าเรามองลึกในทางยุทธวิธีแล้วจะเห็นว่ากระทรวงมหาดไทย รีบไปสกัดกั้นกระบวนการแสวงหาข้อมูลของดีเอสไอต่างหาก เพื่อให้เห็นว่าหากได้ข้อมูลไป ก็จะเป็นไปในลักษณะไม่ชอบธรรม ดังนั้นจึงอาจจะนำมาเป็นข้อต่อสู้ไม่ได้ในการดำเนินคดีได้  ตอนนี้ต่างฝ่าย ต่างดักกันและกัน ต่างฝ่ายต่างต้องชิงเหลี่ยมกันตลอดเวลา แต่สุดท้ายจะต้องมีคนพังไปเบ็ดเสร็จไปก่อนแน่นอน

เช่นตอนนี้ ตามข่าวที่ได้มาทางดีเอสไอ เตรียมส่งดำเนินการแล้วประมาณ 60 สว. แต่ทางด้านพรรคภูมิใจไทยอาจจะมีกลยุทธ์ต้องยอมเสียส่วนน้อย เพื่อรักษาส่วนใหญ่ หมายความว่า สว.ในมือที่เขามีอยู่ 140 คน หากจะต้องถูกจัดการไป 60 คน ซึ่งเขาก็อาจจะเชื่อว่ายอดที่จะถูกจัดการนั้นคงไม่ถึง 60 สว. อาจจะประมาณ 30-40 สว. แต่สว.ส่วนใหญ่ยังดำรงคงอยู่ แต่ในส่วนนี้อยู่กว่า 100 คน กับสว.กลุ่มสีขาว ก็ไม่ได้เหนียวแน่น แต่ก็ยังเป็นฝ่ายกุมเสียงส่วนใหญ่อยู่ดี ยังเป็นกลยุทธ์ที่จะสามารถไปจัดการกับพรรคสีแดงได้ เนื่องจากหากมีสว.อย่างน้อย 20 คน สามารถเข้าชื่อไปเล่นงานในคดีต่างๆได้ต่อเนื่อง จากนิติสงคราม ที่มาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ไว้ก็สามารถใช้กลไกส่วนนี้ได้

ขณะเดียวกันพรรคสีน้ำเงิน ก็ยังมีสว.ส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ ยังสามารถไปคัดเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ยังเหลืออีก 2 คน หรือคณะกรรมการป.ป.ช.อีก 3 คนและคณะกรรมการกกต.อีก 5 คน ในอนาคต พรรคภูมิใจไทยก็ยังเชื่อมั่นว่า ยังมีความเบ็ดเสร็จอยู่ ยังมีบทบาท มีอิทธิฤทธิ์ในการคัดเลือก คัดสรรองค์กรอิสระอยู่  แต่พรรคสีน้ำเงินก็ต้องสู้เต็มที่ อาจจะยอมเสียส่วนน้อยบ้าง กับสถานการณ์ที่ถูกรุกเร้า แต่ส่วนใหญ่ก็ยังดำรงสภาพได้อยู่ ตรงนี้น่าติดตาม เพราะนี่คือการชิงเหลี่ยมซึ่งกันและกัน

- ไม่มีใครรับประกันได้ว่า สว.สำรอง ที่ต่อคิวรอขึ้นมาแทน จะไม่ใช่คนของพรรคสีน้ำเงินอีก

ถูกต้องเลย เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่า ที่จะขึ้นมายังเป็นของพรรคสีน้ำเงินอีกหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา คนก็มองแค่ว่าที่มาเป็นสว.ชุดแรกก็เป็นของพรรคสีน้ำเงิน เหมือนสีแดงจะไปจัดการได้ แต่สุดท้ายสว.สำรองที่จะเลื่อนขึ้นมาก็เป็นคนของพรรคสีน้ำเงินอีก

- หากดูเวลานี้บทบาทของฝ่ายการเมืองที่ออกมา เคลื่อนไหว ทำให้การทำงานของแต่ละหน่วยงานไม่ปกติใช่หรือไม่

ณ ตอนนี้ฝ่ายข้าราชการเองระมัดระวังตัวอยู่ แต่ก็ต้องยึดหลักตามสายบังคับบัญชา  อย่างดีเอสไอ ขึ้นอยู่กับปลัดกระทรวงยุติธรรม และรมว.ยุติธรรม  ฝ่ายผู้ว่าฯก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องยึดปลัดมหาดไทยเป็นหลักและไปรมว.มหาดไทย ฉะนั้นราชการมีความรอบคอบอยู่แล้ว ซึ่งเขาจะสู้ตามตัวบทกฎหมาย 

เวลานี้ดีเอสไอก็อ้างว่าตัวเองมีอำนาจ ในมาตรา 22 ในการสืบสวน สอบสวนแสวงหาข้อเท็จจริง และถ้าใครไม่ให้ความร่วมมือก็อาจจะมีโทษจำคุก 1-10 ปี  ส่วนฝ่ายกระทรวงมหาดไทยก็มองว่าคุณมีเครื่องมืออยู่ก็จริง แต่หากดีเอสไอ ลงไปปฏิบัติงานในพื้นที่ของมหาดไทย และมีความไม่ชอบด้วยกฎหมาย จุดนี้ก็มีสิทธิรายงานผู้บังคับบัญชาเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ ดีเอสไอ เพราะผู้ว่าฯรายงานต่อปลัดมหาดไทยตามสายบังคับบัญชา ต่อไปปลัดมหาดไทยก็จะยึดตามแนวทางของตนเอง  ให้เป็นไปตามความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการกลั่นแกล้งกัน

ดังนั้นการที่ฝ่ายการเมืองจะเผชิญหน้ากัน โดยฝ่ายพรรคสีน้ำเงิน นอกจากจะมีข้าราชการเป็นกลไกแล้ว ยังมีสว.เป็นตัวละครใหญ่ ซึ่งอยู่กับพรรคภูมิใจไทยเต็มๆซึ่งสามารถใช้กฎหมายตามที่วุฒิสมาชิกมีอำนาจ มีช่องทางที่จะเล่นงานอธิบดีดีเอสไอ ไปจนถึงรมว.ยุติธรรม โดยกระบวนการเข้าชื่อกัน 20 สว. ซึ่งได้ทำแล้ว โดยจะไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ซื่อสัตย์สุจริต และฝ่าฝืนจริยธรรม  ซึ่งขั้นตอนตรงนี้ได้ดำเนินการกันไปแล้ว ซึ่งในส่วนนี้จะจบได้เร็วกว่า ที่ดีเอสไอจะดำเนินคดี กับสว.สีน้ำเงินไปตามครรลองด้วยซ้ำ

เนื่องจากในส่วนของดีเอสไอ ต้องไปเริ่มกันที่คดีฟอกเงิน อั้งยี่ ซ่องโจร จากนั้นถึงจะไปทำให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์กันกับคดีการเลือกสว.ที่ไม่มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ซึ่งจะเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. จากนั้นดีเอสไอก็ต้องส่งไปที่กกต. ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ได้ว่ากกต.จะดำเนินการได้รวดเร็ว หรือไม่ หรือสมมติว่ากกต.ทำได้เร็วขึ้น แต่ก็ยังเป็นปัญหาอีก เพราะยังไม่ได้จบ ที่กกต.อย่างเดียว เพราะกกต.ต้องส่งเรื่องไปที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก

สิ่งเหล่านี้ก็ต้องมีกระบวนการอีก  หากเราศึกษาคดีต่างๆที่ผ่านมา ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทำได้เร็วที่สุด จะอยู่ที่1ปี ฉะนั้นทางฝ่ายพรรคสีน้ำเงิน จึงมีกระบวนการที่จะจัดการฝ่ายสีแดงได้เร็วกว่า คือการร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า เรื่องนี้จะต้องมีคนพังกันลงไป แต่โอกาสที่พรรคสีแดง ต้องใช้เวลามากกว่า จึงมีโอกาสที่จะถูกน็อคไปก่อน จากนั้นฝ่ายสีน้ำเงินก็ถูกน็อคตามมา แม้จะต้องเสียสว.บางส่วนไปบ้าง  แต่ก็ยังเหลือสว.ส่วนใหญ่ในมืออยู่

-ถ้าชั่งน้ำหนักกันดูเหมือนว่าพรรคสีแดงจะเสียหายมากกว่า หรือสีน้ำเงิน

ณ เวลานี้ ทางฝ่ายสีแดง หากมีอุบัติเหตุจริง หรือหาถูกเล่นงานไป ก็เสียแค่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กับรองนายกฯคือคุณภูมิธรรม เวชยชัย  แต่ทางฝ่ายสีน้ำเงิน เสียสว.จะประมาณ 50-60 คน และส่วนที่กลัวกันมากที่สุด คือตอนที่เสียสว.แล้วไม่รีบระงับยับยั้ง เพราะเป้าหมายที่ฝ่ายสีแดงไปเล่นงาน ทั้งที่เดิมเป็นเชิงการเมือง ไม่ต้องการถึงขั้นทำลายล้างกันเด็ดขาด  แต่ต้องการดำเนินคดีแบบต่อรอง เพื่อขอแบ่งสว.บ้าง  แต่ทางสีน้ำเงินเล่นกินรวบหมด แม้กระทั่ง ประธานคณะกรรมาธิการ ของสว.ทุกคณะ ก็ยังกินรวบหมด ดังนั้นฝ่ายแดงจึงเห็นว่าต้องจัดการแล้ว จึงมีการตั้งเป้า จัดการทั้งหมด

จริงๆแล้ว ลึกๆต้องการให้เกิดคดีความฮั้วเลือกสว. เพื่อให้ไปเชื่อมโยงกับคนที่อยู่ข้างหลัง 4-5 คน ซึ่งมีทั้งผู้นำทางจิตวิญญาณ และผู้บริหารของฝ่ายสีน้ำเงิน ที่อยู่เบื้องหลังในการจัดสรรให้เกิดสว.ชุด2567 นี้ แต่สุดท้ายหาก 5 คนที่เป็นฝ่ายบริหารของพรรคสีน้ำเงินโดน ภูมิใจไทยจะถูกยุบพรรคไปเลย จากนั้นจะส่งผลถึงผู้นำ และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก็จะหมดไปด้วย รวมถึงครูใหญ่จะหมดอิทธิฤทธิ์ไป ดังนั้นเมื่อเป้าหมายมันลึกขนาดนี้ ฝ่ายสีน้ำเงินก็อ่านออก ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

และเรื่องนี้ยังลึกมากไปกว่าสว. แต่ต้องการจัดการคีย์ เพอร์ซัน ที่อยู่ข้างหลังพรรคนี้ให้ตายไปเลย ฉะนั้นพรรคสีน้ำเงินต้องสู้สุดฤทธิ์ เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้ เรายังไม่เห็นว่าจะมีหมัดเด็ดอะไรอีกหรือไม่

จากประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ผ่านมา การต่อสู้ทางการเมืองของผู้นำจิตวิญญาณของพรรคสีน้ำเงิน ไม่เคยแพ้เลย ชนะทุกครั้ง ฉะนั้นการที่เราเห็นว่าพรรคสีน้ำเงินกำลังเงียบๆอยู่ จะเสียท่าหรือไม่ ไม่ใช่ว่าอยูดีๆโผล่มาตูมเดียว ว่าให้มีสว.20 คนยื่นคำร้องจัดการนายกฯแพทองธาร เรื่องที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ เลย

อย่าลืมว่าเรื่องสนามกอล์ฟอัลไพน์นั้นถือว่าจบแล้ว เมื่อกรมที่ดินออกคำสั่ง เพื่อจะดำเนินการเพิกถอนเลย เท่ากับมันจบเบ็ดเสร็จแล้ว เพียงแต่จะเอาสว.20 คนมายื่น คำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเลย เล่นเรื่องไม่ซื่อสัตย์สุจริต เรื่องฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงได้ทันทีเลย  และใช้เวลาไม่นาน 2 เดือนก็เรียบร้อยแล้ว 

สำหรับนายกฯอิ๊งค์ ยังมีเรื่องที่ดินโรงแรมที่เขาใหญ่ นครราชสีมาอีก และเรื่องนิติกรรมอำพราง ตั๋ว PN สิ่งที่น่ากังวลอยู่ที่คดีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ถ้าโดน นายกฯอิ๊งค์ ก็ถูกน็อคเลย เพราะเรื่องนี้เคยมีอดีตสส.โดนมาแล้ว

ส่วนคดีของนายกฯอิ๊งค์ น่าหวาดเสียวตรงที่ล่าสุด มีการจัดการเรื่องคดีที่ดิน ของคุณประยุทธ์ มหากิจศิริ  นักธุรกิจใหญ่ ที่โคราช มีการไปรุกที่ซึ่งศาลตัดสินแล้วว่ามีความผิด ทั้งตัวคุณประยุทธ์ และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งแนวคดีนี้มีลักษณะเดียวกันกับที่ดินอัลไพน์ กับที่ดินเทมส์ ที่เขาใหญ่  ซึ่งหากนายกฯโดนคดี ไม่ใช่แค่ว่าจะถูกถอดถอน กรณีไม่ซื่อสัตย์สุจริต  แต่จะกลายมาโดนคดีอาญาตามมาด้วยหรือไม่  ซึ่งคดีอาญาก็ยังมีเกิดคดีรุกที่ป่าของคุณประยุทธ์ ซึ่งศาลสั่งจำคุก 20 กว่าปี  จึงเป็นอย่างที่บอกว่านี่คือการรบแตกหักแล้วเพียงแต่กระบวนการมันยังไม่จบเท่านั้น

-คดีของคุณทักษิณ กรณีชั้น 14 จะมาสร้างผลกระทบหรือการต่อรองทางการเมืองอย่างไรหรือไม่กับสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้

แน่นอน หากผลของคดีออกมาเป็นแง่ลบ จะเป็นผล ฝ่ายพรรคสีน้ำเงินเตรียมยิ้มเลย เขาจะบอกเลยว่าผมไม่ได้ไปจัดการคุณนะ แต่คุณสะดุดเท้าตัวเอง ทั้งเรื่องชั้น 14 ที่ศาลฎีกา ฯ และเรื่องคดีม.112 ที่อยู่ในศาลอาญา ก็เป็นเรื่องของคุณเองทั้งนั้น

เราต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้ที่เกิดขึ้นได้จริงๆ ไม่ได้มาจากตัวของพรรคเพื่อไทยเองที่มีความชอบธรรม  แต่มี “รัฐพันลึก” เป็นผู้กำกับการแสดง และให้คุณทักษิณ มาแสดงนำได้ ฉะนั้นตรงนี้ สิ่งบอกเหตุว่าทางแพทยสภาส่งสัญญาณมาไม่ค่อยดี ชี้ว่าหมอผิด  นอกจากนี้ยังมีคดีที่ศาลฎีกา นัดไต่สวนวันที่ 13 มิ.ย.68 ตรงนั้นยิ่งอาการหนัก เพราะแพทย์มีความผิด ก็จะเป็นสเตปแรก จากนั้นจึงค่อยไปเอาผิดคุณทักษิณ กันต่อได้

ส่วนกรณีศาลฎีกา นัดไต่สวนวันที่ 13 มิ.ย.นี้หากศาลชี้ว่า คุณไม่ได้ป่วยวิกฤตจริง  เท่ากับยิงเป้าตรงไปที่คุณทักษิณ เลย ซึ่งทั้งมติแพทยสภา และกรณีศาลฎีกา กรณีชั้น 14 มันจะเป็นตัวลดทอนคุณทักษิณ เลย ส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างรุนแรง

เพราะเราก็รู้อยู่ว่าทั้งพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล หรือการที่นายกฯแพทองธาร ยืนอยู่ได้นั้นไม่ใช่เพราะตัวนายกฯเอง หรือแม้แต่การที่คุณทักษิณยืนอยู่ได้ เพราะมีอำนาจจากรัฐพันลึก  แต่ถ้ามีสิ่งบอกเหตุจากสองเหตุการณ์นี้ขึ้นมา คนจะประเมินได้เลย รวมถึงฝ่ายสีน้ำเงินที่กำลังต่อสู้กัน จะเชื่อว่าไม่มีไฟเขียวให้คุณทักษิณ แล้ว พอท่านทักษิณ ทรุด พรรคเพื่อไทยก็ทรุด นายกฯแพทองธาร ไม่มีศักยภาพในการนำพรรคอยู่แล้ว ทุกอย่างก็จบเลย เท่ากับปิดเกมเลย ทำให้พรรคสีน้ำเงินได้เปรียบเลย เพราะสิ่งที่คุณพังลงไป ไม่ใช่เพราะคนอื่น

และนับตั้งแต่วันที่ศาลฎีกา บอกว่าจะไต่สวนเองกรณีชั้น 14 เรายังไม่เห็นว่าคุณทักษิณปรากฏตัวเลย ซึ่งมันเป็นสิ่งผิดปกติของคุณลักษณะ ปกติท่านที่ตั้งฉายาให้ตัวเองว่า “ส.ท.ร.” ต้องกระโจนลงมาทุกเรื่อง แสดงว่าท่านก็ต้องคิดหนัก ระมัดระวังตัวพอสมควร

-ถ้ามีสิ่งบอกเหตุที่ตัวคุณทักษิณ จะสะท้อนว่าดีลลับ ต่างๆ หมดไปแล้ว

ถูกต้อง แล้วการเมืองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ตามมา ซึ่งประวัติศาสตร์ก็สอนมาว่าการที่นายกฯถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงคนเดียว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทุกครั้ง  ไม่ยุบสภาฯก็เปลี่ยนตัวนายกฯ อย่างท่านอดีตนายกฯบรรหาร ศิลปอาชา ก็ต้องยุบสภาฯไปภายใน 7 วัน ส่วนพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็ต้องยุบสภาฯภายใน 2เดือน ประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอย

หากคุณทักษิณเป็นอะไรไป คุณแพทองธาร ก็ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้ ส่วนคดีความที่เกี่ยวข้องกับคุณแพทองธาร ก็มีสิทธิที่จะเกิดขึ้น เพราะการอภิปรายฯที่ผ่านมา คือการทิ้งระเบิดไว้ ทำให้วุฒิสมาชิก หรือสภาฯหยิบมาเล่นงานต่อได้ หรืออาจจะไปเกี่ยวพันกับคนนอกที่ร้องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน ปัจจุบันผมเชื่อว่านายกฯเองยังจำคดีของตัวเองไม่ได้แล้วเพราะมีเยอะมาก จุดนี้ถือว่าเสียเปรียบมาก ซึ่งที่ผ่านมาคุณทักษิณเป็นเหมือนผนังทองแดง กำแพงเหล็ก ยันเอาไว้ให้ ถ้าท่านเป็นอะไรไป ก็เดินต่อยาก ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมีสูงมาก