รัฐบาลพร้อมเปิดเวทีแจง เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มั่นใจพิจารณางบ69 ไร้ปัญหา ยัน พรรคร่วมรัฐบาลจับมือแน่น นายกฯ ให้รอ ครม.เคาะคนดูดีเอสไอแทน ทวี ด้าน ดีเอสไอ ยันเดินหน้าสอบต่อ ลั่นไร้ผลกระทบ ศาลฯสั่ง ทวี สอดส่อง หยุดคุม ดีเอสไอ ส่วน กมธ.ป.ป.ช. เดินหน้าตั้งลำสอบปม ฮั้ว สว.พร้อมเชิญ 27ผู้ร้อง-รองเลขาฯ กกต.ให้ข้อมูล ปัดสอบโยงการเมือง-ไม่มีปั้นแต่งข้อมูล ยันทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติตรวจสอบ ชี้ถูกผิดเป็นอำนาจหน้าที่ศาล ส่วน แพทยสภา ส่งมติลงดาบฟัน 3 หมอ ถึงมือ สมศักดิ์ ขีดเส้น 15 วันต้องจบ ขยายเวลาไม่ได้
       
       
  เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 15 พ.ค. 68 ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่สั่งการกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะให้ใครทำหน้าที่ดูแลแทน โดย น.ส.แพทองธาร หันไปสอบถาม นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก่อนตอบคำถามว่า เรื่องนี้ต้องเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อน 
        
 เมื่อถามอีกว่า นายกฯ จะดูแลเองหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คงต้องมอบหมายให้ใครดูต่อ เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะกระทบการทำงานหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คงต้องให้ พ.ต.อ.ทวี คุยว่าจะส่งงานที่ค้างอยู่อย่างไร ไม่เป็นไรเดี๋ยวคุยกันในที่ประชุม ครม. แต่ก็จะหาคนแทนได้
      
   พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะโฆษกดีเอสไอ เปิดเผยถึงกรณีที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ถูกคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ในส่วนกำกับดูแลดีเอสไอ จากกรณีคดีฮั้วเลือก สว.67 โดยระบุว่า เรื่องดังกล่าว เราดูจากเนื้อหาข่าวที่ออกมา เป็นเรื่องการหยุดปฎิบัติหน้าที่ในภารกิจของรัฐมนตรีใน 2 หมวก คือ หมวกการบริหาร ในฐานะกำกับดูแล และหมวกที่ 2 คือ รองประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (บอร์ด กคพ.) ซึ่งในกระบวนการสืบสวนสอบสวนเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ดำเนินการ ไม่ได้เกี่ยวโยงกับรัฐมนตรี ส่วนจะมีผลต่อการทำงานของดีเอสไอหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่มีผล เพราะพยานหลักฐานยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนสอบสวน ทุกอย่างก็ต้องเดินไปตามปกติ
      
   พ.ต.ต.วรณันกล่าวอีกว่า หลักการทำงานของดีเอสไอ คือ ฟังความทั้งสองฝ่าย ดีเอสไอต้องการให้ได้ข้อเท็จจริงที่นิ่งที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนจะผิดหรือไม่ และมีใครผิดค่อยว่ากันอีกครั้ง ส่วนที่ฝั่งสว. เริ่มเดินเกมกลับอย่างต่อเนื่องในการเอาผิดดีเอสไอนั้น มันเป็นเรื่องที่ทุกคนตรวจสอบกันได้ ย้ำว่าต้องแยกเรื่องบริหารในการกำกับดูแลกับเรื่องคดีเป็นคนละส่วนกัน ซึ่งไม่กังวลว่าจะถูกดำเนินคดี ส่วนฐานความผิดในคดีฟอกเงินและอั้งยี่ที่ดีเอสไอกำกับดูแลเป็นภารกิจประจำตามกฎหมาย ส่วนจะมีความคืบหน้าอย่างไรต้องรอคณะทำงานแจ้งความคืบหน้าให้ทราบอีกครั้ง
       
  เมื่อถามว่าดีเอสไอต้องลดบทบาทตัวเองลงหรือไม่เพราะ สว. มองว่าดีเอสไอเข้าไปแทรกแซงกระบวนการของ กกต. พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า วันนี้เรายังใช้กระบวนการสอบสวนตามขั้นตอนของกฎหมาย
       
  ส่วน พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว.แถลงว่า จากข่าวที่ถูกนำเสนอเหมือนการใช้คำรุนแรงกรณีที่ศาลธรรมนูญ มีมติสั่งพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม หยุดปฎิบัติหน้าที่กำกับดูแลกรมสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถือเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์กับสื่อมวลชนกันธรรมดา เป็นพี่เป็นน้องอาจใช้คำพูดในลักษณะหนึ่ง ที่มีนักข่าวผู้หญิงโทรศัพท์หาตนซึ่งเพิ่งลงจากเครื่อง และสื่อไม่ได้บอกว่าจะขอเป็นข่าว ส่วนการแถลงข่าวคือการแถลงข่าว ต่อสาธารณะในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งนักข่าวได้สอบถามกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับดีเอสไอซึ่งตอนนั้น ตนจำไม่ได้ทั้งหมดว่าพูดคุยอะไรไปบ้าง แต่ดูจากภาพข่าวเข้าใจได้ว่า ได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์ สิ่งที่เห็นว่าไม่สมควรคือการพูดคุยไม่น่าไปอัดคลิป และนำไปออกข่าวนำเสนอ ถ้าบอกก่อนว่าจะอัดคลิป ไปเสนอข่าวจะใช้คำพูดอีกแบบ แต่ถ้าพูดคุยกันธรรมดา จะพูดคุยตามประสา
       
  พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวต่อว่า วันนี้ จึงมาขอโทษที่ พูดไปทำให้สังคมเข้าใจว่า ตนเป็นคนที่ไม่มีเจตนาก้าวร้าว ไม่เคารพในองค์กร ขออนุญาตบอกว่าตนไม่มีจิตใจเป็นเช่นนั้น การแถลงข่าวทุกครั้งจะเคารพทุกองค์กรและขอโทษสังคมจริงๆ ต่อข่าวที่ได้เผยแพร่ไป และไม่ถือโทษโกรธผู้ที่อัดคลิป แม้จะมองว่าเป็นการผิดจริยธรรมของสื่อมวลชน ตนพร้อมที่จะให้ข้อมูล แต่ต้องบอกว่าอัดคลิปหรือเชิญไปให้สัมภาษณ์ ก็จะตอบให้ จึงอยากมาชี้แจงและขอโทษ โดยเฉพาะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ทุกเรื่องพร้อมที่จะพิสูจน์ สว.ทุกคนก็พร้อม เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายทำด้วยความสุจริตและโปร่งใสเราพร้อมหมด แม้กระทั่งการไปชี้แจงต่ออนุกรรมการ กกต. หรือในส่วนที่เกี่ยวข้อง แต่ในส่วนข้อเท็จจริง คือข้อเท็จจริง และข้อเท็จจริงอาจจะจริงหรือเท็จก็ได้ ในส่วนที่เรารับทราบมา ซึ่งตนยังไม่ทราบว่าข้อมูลที่จะไปให้การต่ออนุกรรมการกกต. แม้จะเป็นคนหนึ่งที่ได้รับหมายเรียก
  
       พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวต่อว่า ในฐานะเป็นอดีตข้าราชการตำรวจ การเชิญกลุ่มคนมาให้ถ้อยคำหรือเป็นพยานต้องชี้แจงประเด็นว่าจะ สอบประเด็นใดบ้าง ไม่ใช่แจ้งข้อหาผิด เกี่ยวกับการกระทำ เท่าที่ได้อ่านเอกสารดู ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปตอบประเด็นใด ทั้งนี้อยากย้อนกลับไปยังผู้ตั้งคำถามที่กล่าวหา ว่ามีประเด็นที่จะให้ตอบหรือไม่อย่างไร และในเอกสารระบุว่าจะไปให้ถ้อยคำหรือไม่ไปก็ได้ พร้อมให้มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดติดตามไปด้วยก็ได้ 1 คน ซึ่งถ้าสอบกันโดยเที่ยงธรรมก็ต้องสอบทั้ง 200 คน ไม่ใช่จะเอากลุ่มหนึ่งกลุ่มใดแล้วไปตั้งสีนั้นสีนี้ ตนไม่เข้าใจ ไปแล้วไม่สามารถไปตอบคำถามท่านได้ก็ไม่มีประโยชน์ ต้องดูเหตุและผล โดยจะหารือกับสมาชิกวุฒิสภาทุกคน ที่ถูกเรียกหรือที่จะต้องถูกเรียกในอนาคตให้เป็นรูปแบบเดียวกัน ยังมีเวลาอยู่ก่อนจะถึงวันที่ 19 พ.ค.
   
    ผมในฐานะตำรวจอาชีพการพูดคุยกับใครหรือการอัดคลิป ถือว่าไม่ให้เกียรติ ควรมาพูดคุยกัน ยิ่งถ้าเป็นผู้บังคับบัญชาสายตำรวจเรียบร้อยเลย เราไม่เคยกระทำ ผมไม่ถือโทษ แต่ต้องขอโทษสังคม หากข่าวที่เสนอไปกระทบสังคมไม่ว่าองค์กรใดโดยเฉพาะกกต. ผมมีความเคารพเพราะการได้มาของผม กกต. พิจารณาว่าบริสุทธิ์ยุติธรรมแต่ตอนนี้เมื่อมีการร้องเรียนก็ต้องทำไปตามกระบวนการ ผมพร้อมรับทุกเงื่อนไขทุกกรณีที่กกต.พิจารณาวินิจฉัย เรื่องการได้มาสว. ตามรัฐธรรมนูญ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าว
       
  เมื่อถามว่าสาเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะดูแลดีเอสไอนั้น พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่า ไม่ทราบและไม่ขอก้าวล่วง แต่การดำเนินการของดีเอสไอมีความไม่โปร่งใส ทำให้ประชาชนที่ถูกเรียกสอบเป็นพยานโดยเฉพาะในจังหวัดอำนาจเจริญ ทำให้สว. อำนาจเจริญ ได้รับความเดือดร้อนจากคนที่ถูกพนักงานสอบสวนของดีเอสไอสอบสวน ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรม รู้สึกว่าถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ จึงร้องเรียนมาที่ สว. อำนาจเจริญและนำมาเสนอที่วุฒิสภา ซึ่งตนพิจารณาแล้วเห็นควรให้ยื่นเพิ่มเติมไปต่อศาลรัฐธรรมนูญเพราะมองว่าการสอบสวนไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินแต่เป็นการได้ว่าซึ่ง สว. ซึ่งไม่เข้าข่ายคดีพิเศษ แต่จะเป็นเพราะประเด็นนี้หรือไม่ ตนไม่ทราบ ไม่อาจก้าวล่วงการพิจารณาของศาลได้
      
   เมื่อถามถึงแนวทางการต่อสู้ประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องสัญญาว่าจะให้ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่า การจะต้อสู้คดีเราจำเป็นต้องได้ข้อเท็จจริงจากข้อกล่าวหาก่อนว่าตนไปสัญญาว่าจะให้กับใครที่ไหนอย่างไรเพื่อให้มีประเด็นที่จะไปตอบคำถาม ถ้าบอกแค่ว่ามีความผิดเกี่ยวกับการฮั้วเลือก สว. แบบกว้างๆ ตนก็ไม่รู้ว่าจะไปตอบประเด็นไหน ซึ่งวันนี้ตนกลับมาอ่านเอกสารแล้วจะกลับไปทำคำชี้แจงของตัวเอง ยืนยันว่าจะชี้แจงอย่างแน่นอนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์แต่จะต้องเป็นขั้นเป็นตอน แต่ถ้า กกต. ไม่เชื่อตรงไหนจะกำหนดวันไปชี้แจงด้วยตนเอง
      
   เมื่อถามว่าการนัดหารือกับเพื่อนสว.ที่ถูกออกหมายเรียกและคาดว่ากำลังจะถูกออกหมายเรียก พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่า ตนไม่ทราบข้อเท็จจริงของแต่ละคนเป็นอย่างไรและในแต่ละพื้นที่บริบทไม่เหมือนกันคงจะไปชี้แจงแทนใครไม่ได้ แต่รูปแบบการชี้แจงและการได้มาคงคล้ายคลึงกัน
   
      เมื่อถามว่ากรณีที่ สว.ไม่เชื่อมั่นการทำหน้าที่ของคณะอนุกรรมการชุดที่ 26 พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการต่อสู้ แต่เป็นการพิสูจน์ การได้มาซึ่งสว. ทุกคน เราพร้อมให้พิสูจน์ เราไม่ได้ไปรบกับใคร แต่ถูกกระทำฝ่ายเดียวมาตลอดจากการให้สัมภาษณ์สื่อ แต่เราไม่มีอะไรไปต่อสู้ทั้งที่ทุกวันนี้เราแทบจะเป็นจำเลยของสังคม แต่เราก็ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อ ตราบใดที่ กกต.รับรองเราว่ามาโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และเสนอมาที่ เลขาธิการวุฒิสภารับรองให้เราปฏิบัติหน้าที่ เราก็ปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจที่ให้ไว้เท่านั้น ไม่ได้ไปก้าวก่าย
    
     เมื่อถามว่าย้ำว่ายอมรับการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการชุดที่ 26 แล้วหรือไม่ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่า เขาได้พยานจากไหนตนไม่ทราบ แต่เมื่อมาประเมินแล้วว่าในชุดนี้มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอด้วย จึงน่าจะรับการตรวจสอบของดีเอสไอทั้งหมดเข้ามาพิจารณาและใช้อำนาจอนุกรรมการ กกต. เรียก สว.เข้าไปให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสารไปชี้แจง ซึ่งเราอาจต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง เพราะอาจมี สว.ติดภารกิจหรือเดินทางไปต่างประเทศ และส่วนตัวจะขอตั้งหลักก่อนพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร
      
   ที่รัฐสภา นาย ฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ(กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร กล่าวก่อนเป็นประธานการประชุมกมธ.ฯ ที่มีการพิจารณาเรื่องขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กรณีการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา(สว.) โดยเชิญผู้ร้องเรียน และร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. เข้าชี้แจงว่าสืบเนื่องจาก สว.สำรอง ได้ยื่นร้องต่อกรรมาธิการ ป.ป.ช. และคำร้องนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนคดีของ กกต. กับดีเอสไอ โดยกรรมาธิการมีหน้าที่สืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติไม่ชอบหรือไม่
     
    ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญ คือมีบุคคลที่เกี่ยวเนื่อง เป็นส่วนราชการ หรือนักการเมืองไปเกี่ยวข้องหรือไม่ หรือเป็นกระบวนการตามปกติ โดยจะรับฟังคำชี้แจงจากผู้ร้องทั้งหมด ทั้งที่อ้างว่าถูกข่มขู่จากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย สภาฯจะต้องมีความโปร่งใส ทั้งการเลือกตั้ง สส. และสภาสูงที่เป็นสภากลั่นกรองจะต้องมีความสง่างาม
    
   ไม่ได้หมายความว่าท่านทุจริตมา แต่เมื่อสังคมเกิดความสงสัย ทุกองค์กรมีหน้าที่ตรวจสอบ ท่านมาด้วยความสง่างามพวกเราก็ชื่นชม กรรมาธิการไม่ได้ใส่ร้าย ไม่มีข้อมูลปั้นแต่งขึ้นมา เกิดจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ผู้ร้องส่วนหนึ่งก็มีข้อมูลจริงหรือเท็จ ก็จะได้พิจารณากัน ส่วนอำนาจการสอบสวนอยู่ที่ดีเอสไอ และ กกต. ที่จะให้ให้คุณให้โทษ ส่วนกรรมาธิการจะหาข้อมูลข้อเท็จจริงและรายงานให้สภาทราบ ประธาน กมธ.ป.ป.ช. กล่าว
      
   เมื่อถามว่า กรรมาธิการหยิบเรื่องนี้มาสอบ จะไม่ถูกมองเป็นเรื่องการเมืองใช่หรือไม่ นายฉลาด กล่าวว่า เรื่องนี้มีการยื่นร้องมาก่อน จากนั้นให้เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลว่ามีการกลั่นแกล้งกันหรือไม่ เพราะวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรทำงานร่วมกัน เป็นพี่น้องกัน และยืนยันได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง เป็นสส.มา 10 สมัยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เป็นการทำหน้าที่ ไม่ทำไม่ได้ จนถูกร้องกรรมการจริยธรรมว่าทำงานล่าช้า หน่วยเหนียวคำร้อง เพราะมีเรื่องอยู่ 400 เรื่อง ยืนยันว่าทำตามกระบวนการพิจารณาส่วนการชี้ถูกชี้ผิดเป็นเรื่องของศาล หลังจากสอบเสร็จสิ้นก็จะรวบรวมข้อมูลยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)