ในปัจจุบันแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ให้บริการอยู่ 17 แบรนด์ จากทั้งหมดที่มีกว่า 30 แบรนด์ โดยมีโรงแรมและที่พักรวม 67 แห่ง และมีแผนจะเปิดตัวอีก 41 แห่งในพื้นที่นี้ โรงแรมส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย มีจำนวนถึง 64 แห่ง (รวมที่พักอาศัย 2 แห่ง) จากทั้งหมด 67 แห่งใน 3 ประเทศ ทำให้ผลประกอบการในประเทศไทยมีสัดส่วนสูงสุดในผลประกอบการรวมของพื้นที่นี้ โดยกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 32 แห่งเป็นโรงแรมและที่พักตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนที่เหลืออีก 32 แห่งตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ระยอง หัวหิน ปรานบุรี พัทยา ภูเก็ต เขาหลัก กระบี่ และสมุย ล่าสุดเข้าบริหาร เขาหลัก แมริออท บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา ซึ่ง นาย แบรด เอ็ดแมน รองประธานกรรมการประจำประเทศไทย กัมพูชา และเมียนมา แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ได้สะท้อนศักยภาพของธุรกิจโรงแรมในพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างน่าสนใจ
สามารถดูแลรับผิดชอบได้ทั่วถึง
นาย แบรด เอ็ดแมน รองประธานกรรมการประจำประเทศไทย กัมพูชา และเมียนมา แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ว่า บริเวณพื้นที่เขาหลักมีโรงแรมในเชนแมริออทอยู่ 3 โรง ซึ่งทำให้ทราบพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในบริเวณนี้ที่ต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ นิยมธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากกลุ่มตลาดระยะไกลอยู่ประมาณ 50% โดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่นตั้งแต่ ช่วงเดือนพฤศจิกายน จนถึงเมษายนจะมีการจองผ่านออนไลน์ทราเวลเอเยนต์เป็นจำนวนมาก และ 50% มาจากนักท่องเที่ยวระยะใกล้ และนักท่องเที่ยวชาวไทย
โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาจากเมืองหลักๆ ในแต่ละประเทศ ดังนั้นจึงต้องการเดินทางมาพักผ่อนจริงๆ ซึ่งลูกค้าประมาณ 50 ล้านรายจะเป็นสมาชิกของแมริออทบอนวอยจากกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิค ซึ่งสมาชิกโดยรวมของแมริออทบอนวอยมีอยู่ประมาณ 228 ล้านสมาชิก ดังนั้นโดยประมาณ 50-60 ล้านสมาชิกจะอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่รับผิดชอบ จึงมั่นใจได้ว่า สามารถดูแลรับผิดชอบได้ทั่วถึง
ผลกระทบสั้นๆสามารถควบคุมได้
พร้อมกันนี้ นาย แบรด ยังกล่าวด้วยความมั่นใจถึงตลาดจีน และตลาดอเมริกาที่มีความผันผวนไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน ว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะสั้นๆ นี้สามารถควบคุมได้ เพราะจากประสบการณ์การทำงานในประเทศไทยกว่า18 ปีเป็นการันตีถึงประสบการณ์ที่เห็นความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย แต่ถึงกระนั้นลูกค้ายังต้องการหาประสบการณ์จากการเดินทางอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในบริเวณเขาหลักจะมีอัตราการเข้าพักอยู่ 10-14 วัน เพราะเป็นช่วงซีซั่นที่จะต้องเดินทางมาพักผ่อนในประเทศไทย ดังนั้นทางแมริออทฯ จะมีกลยุทธ์ไว้รองรับ อยู่ 2 ข้อ คือ 1.แมริออทต้องการที่จะโตมากขึ้น มีโรงแรมที่เป็นตัวเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น มีหลายเทียร์มากขึ้น คือ ตั้งแต่ระดับพรีเมี่ยม พรีเมี่ยมสไตล์ และระดับลักชูรี่ รวมไปถึงโปรแกรมของแมริออทซึ่งเป็นจุดแข็งแรงมาก มี แมริออท บอนวอย เป็นฐานให้ลูกค้าสามารถนำมาใช้บริการได้ทุกแหล่งท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นนอกจากจะเป็นรอยัลตี้โปรแกรมแล้ว ทางแมริออทฯ ยังมีแผนกการขายระดับโลก เนื่องจากมีออฟฟิศอยู่ประจำทั่วโลก ประมาณ 75 ออฟฟิศที่ดำเนินงานโดยการโปรโมทโรงแรมพร้อมๆ กับโปรโปตเดสติเนชั่นด้วย โดยมีการทำงานใกล้ชิดกับการท่องเที่ยวแต่ละประเทศนั้นๆ สำหรับประเทศไทย จะทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาล และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นสำคัญ
ขยายฐาท่องเที่ยวภายในประเทศ
ทั้งนี้ นาย แบรด กล่าวต่ออีกว่า ภาพรวมอัตราการเข้าพักใน ปี 2567 ของโรงแรมบริเวณเขาหลักอยู่ที่ ประมาณ 80% ช่วงไฮซีซั่น ส่วนในปี 2568 อาจจะสูงกว่า 80% ส่วนของเครือแมริออทที่มีอยู่ประมาณ 3 โรงน่าจะเกิน 80% โดยลูกค้าของแมริออทฯ ประมาณ 60% จึงถูกขับเคลื่อนด้วยกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักเดินทาง ส่วนอีก 20% เป็นลูกค้ากลุ่มองค์กร และ 20% เป็นกลุ่มหมู่คณะและกลุ่มไมซ์ (MICE: การประชุม เดินทางเพื่อเป็นรางวัล สัมมนา และแสดงสินค้า
ซึ่งผลการดำเนินงานของพื้นที่ 3 ประเทศนี้ในปี 2567 ทุกกลุ่มลูกค้ามีการเติบโตของรายได้ต่อห้องพัก (RevPAR) อย่างแข็งแกร่ง เพิ่มขึ้น 15% เทียบกับปีก่อน และเมื่อดูเฉพาะไตรมาส 4 ปีที่แล้ว พบว่านักท่องเที่ยวที่เข้าพักช่วงสั้นๆ เป็นเซ็กเมนต์ที่เติบโตเร็วที่สุด ตัวเลข RevPAR เพิ่มขึ้น 15% ส่วนนักเดินทางเป็นกลุ่มมี RevPAR เพิ่มขึ้น 33% ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของตลาดสหรัฐ จีน และตลาดใกล้เคียงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อีกทั้งยังสอดรับกับทิศทางของแมริออทฯ ที่กำลังมองหาโอกาสขยายธุรกิจเซ็กเมนต์ระดับกลาง (Mid-scale) โดยแมริออทฯ จะเน้นที่ประเทศไทยเป็นพิเศษด้วยการผลักดันกลยุทธ์ไฮเปอร์โลคัล (Hyperlocal) ขยายฐานตลาดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ควบคู่กับสร้างการเติบโตของโปรแกรมสมาชิกภายในประเทศ เพื่อให้สมาชิกแมริออท บอนวอย ที่มีฐานสมาชิกทั่วโลกกว่า 200 ล้านคน ได้รับสิทธิประโยชน์จากการสะสมพอยต์เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมและประสบการณ์ต่างๆ