วันที่ 13 ส.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า คณะสงฆ์จังหวัดอ่างทอง จัดประชุมเตรียมความพร้อมรองรับการตรวจเยี่ยม ติดตามผลการดำเนินงานโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (หมู่บ้านรักษาศีล 5) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีพระสุวรรณวชิราทร เจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง เจ้าอาวาสวัดอ่างทองวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายรักศักดิ์ เทียนไชย นายอำเภอเมืองอ่างทองเป็นประธานฝ่ายฆราวาส โดยมีส่วนราชการ คณะสงฆ์ และประชาชน ร่วมประชุมที่วัดจันทรังษี อำเภอเมืองอ่างทอง
สำหรับการประชุมเตรียมความพร้อม หมู่บ้านรักษาศีล 5 ในครั้งนี้ ด้วยสำนักงานคณะกรรมการบริหารกลางโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5" ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ดำเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5" และกำหนดลงพื้นที่เพื่อตรวจติดตามผลการประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ซึ่งจังหวัดอ่างทองมีมติเห็นชอบให้ ตำบลหัวไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง เป็นหมู่บ้านรักษาศีล 5 ต้นแบบ ประจำปี 2568 และกำหนดให้คณะฯลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามผลการดำเนินโครงการดังกล่าว ในวันที่ 14 สิงหาคม 2568 เพื่อรวบรวมข้อมูลรายงานมหาเถรสมาคมและรัฐบาล
ซึ่งตำบลหัวไผ่ ปรากฏชื่อในประวัติศาสตร์ครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยารวมเรียกว่า “บ้านแห” ซึ่งอยู่ใต้แม่น้ำเจ้าพระยาเดิม คือ คลองสายบางแก้ว(ตามประวัติศาสตร์อำเภอเมืองอ่างทอง) ในสมัยที่สมเด็จพระนเรศวรเป็นพระมหาอุปราชของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา พระราชมนูแม่ทัพหน้าของไทยเคยยกทัพผ่านเข้ามาถึง เมื่อ พ.ศ.2128 และได้ปะทะกับแม่ทัพหน้าของพม่า ซึ่งมีเจ้านครชียงใหม่เป็นแม่ทัพหลวงบริเวณตำบลบางแก้ว (เขตเทศบาลเมืองอ่างทองในปัจจุบัน) การรบครั้งนั้นถึงขั้นตะลุมบอน กองทัพพม่าแตกยับเยิน สมิงโยคราช กับสะเรนันทสู เจ้าเมืองเตรินแม่ทัพพม่าเสียชีวิตในสนามรบ และแม่ทัพพม่าเสียชีวิตในการรบคราวนั้นถึง 5 ท่าน คือ พระยาลอ พระยากาล พระยานครลำปาง พระยานครเชียงรายและพระยามอญ ฝ่ายไทยยึดช้างใหญ่ได้กว่า 200 เชือก ม้ากว่า 500 กว่าตัว และเครื่องศรัตราวุธอีกจำนวนมาก
อนึ่งตามประวัติศาสตร์ตำบลนี้มีคลองแยกหลายสายที่ปากคลองมีก่อไผ่อยู่ริมน้ำอย่างหนาแน่นชาวบ้านแถวนี้จึงเรียกหมู่บ้านของตนว่าคลองหัวไผ่ เป็นท้องที่ที่มีความเจริญ มีชุมชนหนาแน่นตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้คนอาศัยการเดินทางทางน้ำ ราษฎรเข้ามาตั้งถิ่นฐานตามชายบึงริมคลองจำนวนมากแต่เพราะเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงในฤดูน้ำหลาก ประกอบกับท้องถิ่นอื่นเจริญกว่าผู้คนจึงอพยพโยกย้ายไปทำมาหากินที่อื่น จะสังเกตได้จากวัดวาอารามเก่าแก่ซึ่งร้างไปแล้วถึง 4 วัด เพราะประชาชนรุ่นหลังไม่ได้บูรณะสืบต่อกัน และเมื่อมีการแบ่งพื้นที่การปกครองยกเป็นตำบลในสมัยรัชกาล 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือภายหลังจากออกพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 บริเวณนี้จึงได้รับการยกฐานะเป็นตำบลหัวไผ่ พร้อมๆ กับตำบลบ้านอิฐ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทั้งนี้ ที่สำคัญวัดจันทรังษีมีหลวงพ่อโยก เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวหัวไผ่ ชาวบ้านได้เล่าว่า พระพุทธรูปองค์นี้สามารถโยกไปมาได้ ประชาชนในแถบนั้นจึงนิยมเรียกกันว่า "หลวงพ่อโยก" เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะแบบอยุธยา อายุกว่า 300 ปี มีหน้าตักกว้าง 5 ศอก สูง 6 ศอก เรื่องเล่าสืบทอดกันต่อมาว่า องค์หลวงพ่อโยกเป็นพระทองคำในช่วงสมัยเกิดศึกพม่าและอยุธยา ชาวบ้านได้โบกปูนทับพรางสายตาฆ่าศึกแล้วอยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน