กลับมาเขย่าวงการสาธารณสุขโลกกันอีกครั้ง
สำหรับ “เชื้อโคโรนาไวรัส 2019” หรือ “โควิด -19” ที่เรียกกันติดปากสั้นๆ ว่า “โควิด”
โดยเชื้อร้ายนี้ ได้ก่อให้เกิดวิกฤติโรคระบาดทั่วโลกครั้งใหญ่ เมื่อปี 2020 (พ.ศ. 2563) หลังจากที่โรคเริ่มอุบัติขึ้นเมื่อช่วงปลายปี 2019 (พ.ศ. 2562) ก่อนแพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรุนแรง ตลอดช่วง 2 – 3 ปี ถัดจากนั้น
ถึงขนาดทางการของประเทศต่างๆ ต้องดำเนินมาตรการสารพัดกับประชาชนพลเมือง ไม่ว่าจะเป็นการให้สวมหน้ากากอนามัย การให้หมั่นล้างมือทำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรค การให้เว้นระยะห่างทางสังคม หรือโซเชียลดิสแทน การรณงค์ผู้คนฉีดวัคซีนป้องกัน รวมไปถึงการปิดพื้นที่ หรือชัตดาวน์ ซึ่งแม้ส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก แต่ก็จำเป็น เพื่อให้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคร้ายทุเลาเบาบางลงไป
ทั้งนี้ ก็ด้วยโรคโควิดข้างต้น ทั้งทำผู้คนล้มป่วยเพราะติดเชื้อ และคร่าชีวิตผู้ป่วยติดเชื้อไปเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่มีโรคระบาดครั้งใดจะรุนแรงเท่า
โดยมีตัวเลขของผู้คนที่ติดเชื้อทั่วโลกไม่น้อยกว่า 700 ล้านคน ส่วนผู้ที่ติดเชื้อและถูกโควิดปลิดชีพไปทั่วโลกก็มีจำนวนมากกว่า 7 ล้านคน โดยประเทศสหรัฐอเมริกา ครองอันดับ 1 ของโลกในตัวเลขทั้งของผู้ป่วยติดเชื้อที่มีจำนวนมากกว่า 112 ล้านคน และผู้ป่วยที่เสียชีวิตจำนวนมากกว่า 1.21 ล้านคน ท่ามกลางการประมาณการว่า ทั้งผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิดทั่วโลก จะมีตัวเลขมากกว่าที่ระบุไปข้างต้น เพราะคาดว่ายังมีที่ตกสำรวจในพื้นที่ต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก
แม้ว่าโรคร้ายได้คลายทุเลาการแพร่ระบาดในช่วงปี สองปี แต่พิษร้ายของโรคโควิดก็ใช่ว่าจะหมดไปอย่างสิ้นเชิงไม่ โดยยังพบการติดเชื้อและการเสียชีวิตจากโควิดอยู่เนืองๆ รวมไปถึงผู้ที่มีอาการ “ลองโควิด” คือ ป่วยด้วยอาการต่างๆ ของผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด ก็ยังมีให้เห็นกันอยู่
ขณะเดียวกัน เชื้อไวรัสร้าย ก็กลายพันธุ์กันอยู่เป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สายพันธุ์ดั้งเดิม มาจนถึงโอไมครอน หรือโอมิครอน ตามแต่จะเรียกกัน เป็นสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์มาท้ายๆ ของช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งการกลายพันธุ์แต่ละครั้ง ล้วนสร้างความตระหนกให้แก่วงการสาธารณสุข คือ เชื้อโรคสามารถหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภูมิคุ้มกันของผู้ที่เคยติดเชื้อ และภูมิคุ้มกันจากวัคซีนสารพัดขนานที่ผู้คนทั่วโลกเขาฉีดกัน
ทั้งนี้ โควิดสายพันธุ์ไอไมครอน ก็ได้กลายพันธุ์ออกไปเป็นสายพันธุ์ย่อยต่างๆ พร้อมกับอาละวาดไปในพื้นที่ทั้งหลายทั่วโลก
ล่าสุด ที่กำลังระบาดในหลายประเทศต่างๆ ณ ชั่วโมงนี้ ก็เป็นสายพันธุ์ “แอลพี.8.1 (LP.8.1)” และสายพันธุ์ “เอ็กซ์อีซี (XEC)” โดยทั้งสองสายพันธุ์ก็จัดว่า เป็นหลานเป็นเหลนของโอไมครอน ซึ่งสายพันธุ์ทั้งสอง เริ่มปรากฏโฉมตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ก่อนแพร่ระบาดไปในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งในไทยเราด้วย กระทั่งกลายเป็นสองสายพันธุ์ของการแพร่ระบาดโควิดทั่วโลก ณ ชั่วโมงนี้
ตามการเปิดเผยของ “ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ” หรือ “ซีดีซี” ระบุว่า นับตั้งแต่โควิดสายพันธุ์แอลพี.8.1 และสายพันธุ์เอ็กซ์อีซี เริ่มแผลงฤทธิ์ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จนถึงไตรมาสแรกของปี 2025 (พ.ศ. 2568) นี้ ก็พบผู้ป่วยติดเชื้อทั้งสองสายพันธุ์นี้มากกว่าร้อยละ 73 หรือเกือบ 3 ใน 4 ของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ต่างๆ ทั้งหมดเมื่อเปรียบเทียบกัน
ส่วนอาการป่วยก็คล้ายการป่วยโควิดทั่วไป เช่น เป็นไข้ ตัวร้อน ไอ เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ จมูกและลิ้นอาจจะสูญเสียประสาทสัมผัสชั่วคราวหรือรับรู้ได้ไม่ดีเหมือนยามปกติ นอกจากนี้ ผู้ป่วยติดเชื้อบางราย ก็อาจมีอาการ “ลองโควิด” คือ ยังคงมีอาการป่วยต่างๆ ตกค้างต่อเนื่องหลังจากเชื้อไวรัสหมดไปจากตัวเราแล้ว เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม เป็นอาทิ
โดยซีดีซี ยังเตือนด้วยว่า แม้โควิดทั้งสองสายพันธุ์จะไม่รุนแรงเท่ากับสายพันธุ์ต่างๆ ก่อนหน้า แต่ก็แพร่กระจายเชื้อได้เร็ว คือ ติดโรคกันง่าย และแม้อาการป่วยอาจจะไม่หนัก โดยอาการคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ แต่ถ้าผู้ติดเชื้อบางรายที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว อย่าง เบาหวาน หรือมะเร็ง ตลอดจนเป็นผู้สูงอายุ คือ มากกว่า 65 ปีขึ้นไป และแถมมีโรคประจำตัวอีก ก็สุ่มเสี่ยงที่จะถูกโควิดปลิดชีวิตได้เหมือนกัน ซึ่งทางซีดีซี ระบุด้วยว่า ร้อยละ 81 ของผู้เสียชีวิตจากโควิดทั้งสองสายพันธุ์นี้ ก็คือ กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงข้างต้น
พร้อมกันนี้ ทางซีดีซี และวงการสาธารณสุขทั้งหลาย ก็มีคำเตือนพร้อมกับมีคำแนะนำสำหรับการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด เริ่มจากกรณีของ “ผู้ที่ติดเชื้อ” โดยหลังจากตรวจด้วยอุปกรณ์ชุดตรวจ “เอทีเค (ATK)” แล้วพบว่า ตนเองติดเชื้อ หรือเป็นบวก คือ ขึ้น 2 ขีด ก็ต้องกักบริเวณตนเองทันที เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคให้แก่คนอื่นๆ แม้ว่าจะยังไม่มีอาการป่วยก็ตาม แต่ก็สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ โดยต้องตรวจด้วยอุปกรณ์ชุดตรวจ “เอทีเค” ทุกวันจนกว่าเชื้อจะหาย คือ เหลือเพียง 1 ขีด จึงจะวางใจได้ว่า เราไม่แพร่เชื้อโควิดให้ใครๆ แล้ว ก็จะช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคไปได้มาก
นอกจากนี้ ก็ยังมีคำแนะนำมาตรการป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งมาตรการที่ว่า บรรดาประชาคมโลก ต่างก็ได้เคยปฏิบัติกันมาแล้ว ตั้งแต่โควิดแพร่ระบาดใหม่ๆ นั่นคือ ควรสวมหน้ากากอนามัย เมื่อต้องไปในที่ชุมชนแออัด หรือมีผู้คนเป็นจำนวนมาก การหมั่นทำความสะอาดมือทั้งจากการล้างและการใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ รวมไปถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม
โดยมาตรการป้องกันการติดเชื้อข้างต้น ทางผู้เชี่ยวชาญของวงการสาธารณสุข ยังระบุด้วยว่า มิใช่แต่เฉพาะจะลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิดได้เท่านั้น แต่ทว่า ยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น “ไข้หวัดใหญ่” ที่กำลังแพร่ระบาดในหลายๆ ประเทศทั่วโลก รวมทั้งไทยเรา ณ เวลานี้ ซึ่งมีตัวเลขว่า ผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มีจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยหนักกว่าที่เคย น่ากลัวไม่แพ้โควิดอยู่เหมือนกัน