“รัฐบาลผสม” นำโดย “พรรคเพื่อไทย” ได้เดินมาถึงครึ่งทางแล้ว จากปี 2566 จนถึงบัดนี้ล่วงเข้าปี 2568 หมายความว่า ห้วงเวลาจากนี้อีก 2ปี พรรคร่วมรัฐบาลที่ตัดสินใจลงเรือลำเดียวกันมา หลังการเลือกตั้ง จะต้องหาทางประคับประคอง กันไปให้ตลอดรอดฝั่ง เพื่อให้รัฐบาลชุดนี้อยู่จนครบเทอม รวมถึงได้สะสมเสบียง และกำลังพลเข้มแข็งมากพอที่จะลงสนามเลือกตั้งใหม่ปี 2570
จะเว้นก็เสียว่า จะไม่เกิด ภาวะแทรกซ้อน หรือสถานการณ์ที่แม้จะอยู่ในความคาดหมาย แต่กลับยากที่จะกำหนดอย่างใดอย่างหนึ่งได้เท่านั้น
การดำรงอยู่ของรัฐบาลผสม เมื่อ 2ปีแรกผ่านพ้น ซึ่งแน่นอนว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่มาจาก “ดีลลับ” บนเงื่อนไขที่ดูเหมือนว่า คนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23นั้นมีแต่ได้กับได้ อยู่ฝ่ายเดียว !!
พรรคเพื่อไทย ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” ลูกสาวคนสุดท้อง ได้รับการผลักดัน จนสามารถขึ้นไปนั่งเก้าอี้ “นายกฯคนที่31” ได้อย่างฉลุย ทิ้งให้ “พรรคส้ม” ตายเดี่ยว ยืนเดียวดายทำหน้าที่ “พรรคฝ่ายค้าน” ในสภาฯ มิหนำซ้ำตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยังพบว่าพรรคส้มต้องเสีย “แม่ทัพ” ไปแล้วด้วยกันหลายคน โดยเฉพาะ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล มิหนำซ้ำยังมีแนวโน้มว่า คดีที่ “44 อดีตสส.ก้าวไกล” เคยร่วมกันลงชื่อให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา ม.112 ก็งวดเข้ามาทุกขณะ
ยังไม่ต้องนับ โอกาสที่ทักษิณ ได้กลับบ้านเกิด หลังจากที่หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศยาวนานกว่า 17 ปี จะเหลือก็แค่รอการกลับมาของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ผู้เป็นน้องสาว ของเขารอวันได้ไฟเขียวกลับประเทศไทย ตามมาอีกคน ก็จะถือว่า “เงื่อนไข” ในดีลลับ ตั้งรัฐบาลผสมชนิดข้ามขั้ว นั้นบรรลุเป้าหมายสำหรับทักษิณ ทุกทางแล้ว
แต่ทว่าในสภาพความเป็นจริงเกิดขึ้น ในช่วง2ปีที่ผ่านมา และจะต้องเดินต่อไปอีก ครึ่งเทอม หากรัฐบาลหวังอยู่ครบในปี 2570 กำลังกลายเป็นเกมที่คล้ายจะพลิกกลับ ร่ำๆว่าจะเกิดรายการ “ล้มดีล” อยู่ร่อมร่อ ล่าสุดสื่อได้ซักถามเรื่องดังกล่าวกับนายกฯแพทองธาร กรณีศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวน ในวันที่ 13 มิ.ย.68 นี้กรณี การส่งทักษิณ เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 โดยนายกฯอิ๊งค์ บอกเพียงสั้นๆว่า “คิดเยอะมากเลย ” พร้อมย้ำว่าในวันดังกล่าว นัดมาอย่างไรก็ว่ากันไปตามกระบวนการ
สถานการณ์ทางการเมือง ณ วันนี้ ยิ่งเด่นชัดว่า พรรคเพื่อไทย แม้จะเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล แต่ไม่ต่างจากการตกอยู่ในวงล้อม ของพรรคร่วมรัฐบาล มิหนำซ้ำยังแทบชี้นำ หรือส่งสัญญาณให้พรรคพวกขานรับหรือสนับสนุน “นโยบายเรือธง” ของพรรคเพื่อไทย ไม่เคยเป็นผลด้วยซ้ำ
ทั้งที่ในความคาดหวังของทักษิณ แล้วย่อมมองไกลว่าไม่เพียงแต่พรรคเพื่อไทยจะได้พลิกจาก “พรรคฝ่ายค้าน” ที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ถึง 8 ปี มาสู่การเป็นรัฐบาลเท่านั้น แต่การที่ส่งลูกสาวขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลนั้น ยังต้องการใช้โอกาส4ปีเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเมืองให้กับพรรคเพื่อไทย หลังจากที่ถูก “พรรคสีส้ม”ตีโอบล้อม ถล่มจนเสียฐานเสียงไปแล้วไม่น้อย แม้แต่คนเสื้อแดงยังแปรพักตร์ไปสวมเสื้อสีส้ม ตะโกนเชียร์ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล
ครึ่งเทอมแรกสำหรับการเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ดูเหมือนว่า แม้หลายอย่างจะ “เป็นใจ” แต่กลับยังไม่ใช่คำตอบที่ยืนยันถึงชัยชนะได้อยู่ดี ยิ่งเมื่อวันนี้ ตัวทักษิณ เองเขายังติดบ่วงคดี กรณี “ชั้น14” ที่เจ้าตัวไปนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ จนล่าสุด 13 มิ.ย.นี้ศาลฎีกาฯ นัดไต่สวนกรณีดังกล่าวเอง นอกจากนี้ยังมีคดี ม.112 ซึ่งเรื่องยังอยู่ในการพิจารณาของศาล ฯ และในคดีนี้นี่เองที่ทำให้ทักษิณ ขยับได้ยาก หากเขาคิดที่จะ “เดินทางออกนอกประเทศ” ด้วยติดเงื่อนไขการให้ประกันตัวชั่วคราว
เท่ากับว่าความหวังของทักษิณ ที่แม้จะมองไกล ทั้งเพื่อตัวเอง รวมไปถึงการได้น้องสาว กลับประเทศไทย นั้นอาจห่างไกลออกไปทุกทีหรือไม่ เพราะตลอดอายุรัฐบาล ที่ต่อเนื่องกันจาก “อดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน” มาสู่นายกฯแพทองธาร มีแต่พรรคเพื่อไทยจะอ่อนแรงลงแล้ว ยังไม่อาจหวังด้วยว่า หากคิดยุบสภาฯ วันนี้พรุ่งนี้เพื่อหนีจากปัญหาและแรงกดดันทางการเมืองรอบทิศรอบทางแล้ว เพื่อไทย จะได้สส.กลับเข้าสภาฯ เป็นอันดับที่เท่าใด
นอกจาก “แดง” จะเอาชนะ “ส้ม” ไม่ได้แล้ว ยังกลายเป็นว่า “พรรคสีน้ำเงิน” อย่าง “ภูมิใจไทย” เองก็จ้องที่จะรุกฆาตทางการเมือง อยู่ตลอดเวลา !
สัมพันธภาพระหว่างพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทย อยู่ในสภาพที่เรียกว่าหวานอม ขมกลืน สลับสับเปลี่ยนไปกับการเล่นเกมซ่อนมีดเอาไว้ข้างหลัง อยู่ตลอดเวลา เมื่อภูมิใจไทย แม้จะมี 69 สส. เป็นพรรคอันดับ 2 ในรัฐบาลผสม แต่กลับท้าทายพรรคเพื่อไทยมาแล้วหลายครั้ง ไปจนถึงการ “ขวาง” นโยบายสำคัญๆ
นอกจากนี้ การปรับครม.ที่กำลังกลายเป็นไฟต์บังคับที่รัฐบาลต้องการปรับเพื่อเรียกเรทติงในช่วงครึ่งเทอมหลังก็ยังติดขัด อยู่ที่ ไม่สามารถดึงเอากระทรวงหลักเกรดเอ อย่าง “มหาดไทย” มาไว้ในมือได้อีก เมื่อ พรรคภูมิใจไทยเอง ไม่ยอมคายออกมา
อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งระหว่างสองพรรคในรัฐบาลผสม ได้นำมาซึ่งความเคลื่อนไหวที่มากกว่าการปรับครม. นั่นคือการ “เขี่ย” ภูมิใจไทยพ้นรัฐบาลด้วยซ้ำ ภายใต้สูตรคณิตศาสตร์ใหม่ที่น่าสนใจ คือการดึงเอา “พรรคพลังประชารัฐ” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งมี 20 เสียงเข้ามาแทน ซึ่งว่ากันว่า ดีลนี้เป็นการดีลตรงระหว่าง ทักษิณ กับบิ๊กป้อม หลังจากที่ “ไชยชนก ชิดชอบ” สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ลูกชาย “ครูใหญ่บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ เจ้าของพรรคตัวจริง ประกาศกลางสภาฯ ว่าไม่เอาด้วยกับร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร
จากท่าทีของไชยชนกในวันนั้น ทำให้ทักษิณต้องหาแผนสำรอง นั่นคือการดึงพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาเตรียมเสริมทีม แต่ปรากฏว่า “ข่าวหลุด” ออกมาเสียก่อน และแม้จะมีแกนนำพรรคเพื่อไทย ออกมาปฏิเสธ ว่าเป็นข่าวลือ ทว่าในความจริงแล้ว ระหว่างทักษิณกับบิ๊กป้อม ใช่ว่าจะโกรธกันถึงขั้น “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” เสียที่ไหน
ทั้งนี้มีรายงานอีกทางหนึ่งระบุว่า พล.อ.ประวิตร นั้นยังมีสัญญาใจกับอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่าอาจมีการจับมือกัน เมื่อถึงคราวต้อง “เปลี่ยนตัวนายกฯ” จาก แพทองธาร ไปเป็นคนอื่น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่พรรคพลังประชารัฐจะต้องรีบตัดสินใจ เข้าร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย เพราะใครจะการันตีได้ว่า รัฐบาลนี้จะอยู่ครบเทอม ?
ความท้าทายจากภายนอก ทำเอา ทักษิณ แทบกุมขมับมากพอแรงอยู่แล้ว แต่ยังปรากฎความเคลื่อนไหวภายในพรรคเพื่อไทยด้วยกันเอง นั่นคือเสียงเรียกร้องให้มีการ “ปรับเล็ก” เปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรี ในหลายกระทรวง ตามโควตาของพรรคเพื่อไทย เพื่อเวียนให้ “คนใหม่” เข้าไปนั่งทำหน้าที่กันบ้าง
อย่าลืมว่า เมื่อคนนอกและกองแช่งประเมินในทิศทางไม่ต่างกันว่ารัฐบาลอาจอยู่ไม่ครบเทอม และคดีความที่ยังเป็นบ่วงรัดทักษิณ ก็ยังไม่อาจวางใจได้ “คนใน” ก็ย่อมเห็นเช่นกันว่า ยิ่งเวลาของรัฐบาลเหลือน้อยลง กำลังของ “ผู้นำจิตวิญญาณ” แม้ไม่อ่อนล้า แต่ก็ไม่กล้าแข็งเช่นเดิม โอกาสที่จะมีรายการ “ล้มดีล” เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ถ้าเช่นนั้นแกนนำเพื่อไทยที่ยืนต่อคิว รอที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ต่อไปคงไม่ไหว แรงเขย่า บีบให้ปรับครม. จึงไม่ได้มาจาก “ปัจจัยภายนอก” เท่านั้น
สถานการณ์ของทักษิณ ในวันนี้ ดูจะห่างไกล กับฝันที่หวังจะได้อยู่ในอำนาจ หวังที่จะได้กลับมาเช็คบิล “ศัตรูเก่า” เพราะเวลาของเขากำลังเริ่มนับถอยหลังแล้ว ด้วยคดีความอันเป็นความผิดเฉพาะตัว อันจะมีผลลัพธ์ในทางลบอีกด้วยต่างหาก !