สถานการณ์ความมั่นคง กำลังเป็นสิ่งท้าทาย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม อย่างมาก เพราะ เรียกได้ว่าชายแดนร้อนรอบทิศ
ตั้งแต่ เหนือจรดใต้ ตะวันตกจรดตะวันออก ทั้ง ชายแดนไทย-เมียนมา ปัญหาแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย ยังไม่ทันจะเรียบร้อยดี ชายแดนไทย- กัมพูชา ก็ร้อนระอุ แซงหน้าขึ้นมา
ขณะที่สถานการณ์ชายแดนภาคใต้ ก็ไม่น้อยหน้าระอุมาตลอด 20 ปี และยิ่งรุนแรงขึ้น หลังการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจและตัวบุคคลของกลุ่มก่อความไม่สงบ ที่ทุกวันนี้ ยังไม่ประกาศตนว่าชื่อกลุ่มว่าอะไร ที่ส่งผลให้ร้อนข้ามไปถึงมาเลเซีย เพราะฝ่ายไทยดูจะไม่เชื่อมั่น ในผู้อำนวยการสะดวกมาเลเซีย จนนายภูมิธรรมประสานให้เปลี่ยนตัว หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข เพราะไม่เชื่อมั่นว่าเป็นตัวจริงที่มีอำนาจ ในการสั่งการให้ยุติความรุนแรงได้
อีกทั้ง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ที่ปรึกษาประธานอาเซียน ของ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ตั้งเป้าที่จะแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ ร่วมกัน ท่าทีของไทยที่ไม่เชื่อมั่นในมาเลเซียย่อมกระทบต่อความสัมพันธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในขณะที่ทหารไทยและทหารกัมพูชาวางกำลังเผชิญหน้าพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ชายแดนตลอดแนว และถูกจับตามองว่ากระสุนนัดแรกจะเริ่มขึ้นเมื่อใดและจากฝ่ายใด
แต่ปรากฏว่า เสียงปืนกลับดังลั่นชายแดนไทย- ลาว ด้านจังหวัดเชียงราย เสียก่อน ที่ทำให้หลายประเทศในภูมิภาคต้องหันกลับไปมอง สปป.ลาว อีกครั้ง
ที่ถูกจับตามองว่าเป็นผลจากการที่ฝั่งไทยมีการเข้มงวดในการปราบปรามยาเสพติดตามนโยบาย Seal -Stop -Safe และมีการตั้ง ศอ.ปชด. ที่มี พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานบอร์ด และ ผอ.ศอ.ปชด. ที่ฝ่ายทหารเข้ามาคุมการแก้ปัญหาชายแดนต่างๆ ด้วยตนเอง และมีการระดมกำลังหน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมของทั้งทหารตำรวจเข้ามาในพื้นที่เพื่อปราบปรามสกัดกั้นยาเสพติด
ส่งผลให้ขบวนการค้ายาเสพติดต้องใช้เส้นทางทั้งชายแดนไทย-ลาวในการลักลอบขนยาเสพติดเข้าไทย และเกิดปัญหาความขัดแย้งภายใน ขบวนการค้ายาเสพติด ของกลุ่มว้าแดงผู้ผลิต กับ กลุ่มม้งลาว และ ทหารลาวเทา บางส่วน ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด และบางส่วนอาจเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติดในประเทศไทย
น่าจะเป็นปัญหาภายในของเรา แต่ก็เกี่ยวพันกับ สถานการณ์ยาเสพติดของประเทศไทย และมีการปล่อยข่าวลือใน สปป.ลาว สงสัยความเคลื่อนไหวของกลุ่มม้งไทย และพยายามปลุกว่า เป็นขบวนการ “คน บ่ดี” ขบวนการต่อต้านลาว(ขตล.) คืนชีพ
เหล่านี้ล้วน เป็นปัญหาความมั่นคงที่ ภูมิธรรม ต้องแก้ไขและรับมือในฐานะที่ คุมฝ่ายความมั่นคงและคุมกองทัพ โดยที่มีประสบการณ์ด้านงานความมั่นคงและการทหารมาก่อน จึงไม่แปลกที่ทำให้นายภูมิธรรมจะถูกโจมตี ว่าอ่อนหัดด้านความมั่นคง และไม่เหมาะที่จะนั่ง รมว.กลาโหม ต่อไป
จนมีชื่อว่าในการปรับคณะรัฐมนตรีหลังพระราชบัญญัติงบประมาณปี 2569 ผ่านสภาแล้ว ว่าจะกลับไป รมว. พาณิชย์ตามเดิม แล้วให้ “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช. กลาโหมที่เป็นทหารเก่า และเคยเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มาดูแลแทน พร้อมๆกันนั้นก็มีชื่อ นายสุทิน คลังแสง อดีต รมว.กลาโหม จะคัมแบ็คกลับมา นั่ง เก้าอี้สนามไชย1 อีกครั้ง
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ ภูมิธรรม สายตรง ทักษิณ เอง ก็ดูจะติดใจใน การนั่งเป็น รมว.กลาโหม แล้ว และทำงานเข้าขากับผู้บัญชาการเหล่าทัพได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะมีจุดอ่อนในเรื่องความรู้ความเข้าใจด้านงานความมั่นคงและการทหารก็ตาม
โดยเฉพาะการสั่งการในการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ให้ใช้เชิงรุกแทนการตั้งรับ ให้มีการตั้งด่านตรวจมากขึ้น ที่ก็มีเสียงสะท้อนจากฝ่ายทหาร ปกติทหารก็มีการปฏิบัติการเชิงรุกอยู่แล้ว แต่กลุ่มก่อความไม่สงบ ไม่ได้มีการเปิดเผยตัว ตั้งเป็นกองกำลังเปิดเผย ไม่ใช่ว่าฝ่ายทหารจะเข้าไปบุกถล่มได้เลย แต่กลุ่มก่อความไม่สงบแฝงตัวเป็นชาวบ้านอยู่จึงต้องใช้งานด้านการข่าวและการบังคับใช้กฎหมาย เพราะหากใช้กำลังทหารอย่างเดียว ก็จะถูกร้องเรียน ต่อต้าน โดยนักการเมืองบางพรรค และกลุ่มเอ็นจีโอนักสิทธิมนุษยชน
และ มีการตั้งด่านตรวจจุดสกัดตาม ปกติ แต่บ่อยครั้งที่ถูกชาวบ้านซึ่งเป็นแนวร่วมของกลุ่มก่อความไม่สงบ ต่อต้าน มีการปลุกกระแสในเพจชุมชน ว่า การตั้งด่านเยอะ ทำให้ประชาชนสัญจรไม่สะดวก จนเป็นเหตุให้บางจุดตรวจ ด่านตรวจเป็นด่านร้าง
แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ก็มีกระแสข่าวว่าหน่วยรบพิเศษได้มีปฏิบัติการลับ ในพื้นที่ จนร่ำลือกันว่า อาจมีการใช้รูปแบบเดิมๆกลับมาอีก
ปัญหาชายแดนรอบบ้านที่ร้อนระอุรอบทิศ แต่ที่ดูจะร้อนที่สุดและไม่มีทีท่าว่าจะเย็นลงคือชายแดนไทย- กัมพูชา แม้ว่านาย ภูมิธรรม จะปิดห้อง คุย กับพลเอก เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมของกัมพูชา ที่มาประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(GBC) ไทย-กัมพูชา เมื่อ 1 พค. 2568 ที่ผ่านมา ก็ตาม
เพราะการตกลงของ รมว. กลาโหมทั้งสองชาติไม่สามารถปฏิบัติได้ในระดับพื้นที่ ที่ต้องการให้ทั้งสองฝ่ายถอยกำลังทหารที่วางประชิดแนวชายแดนเผชิญหน้ากันอยู่ให้กลับสู่หลังแนว ให้กลับไปหลังเดือนกุมภาพันธ์ 2568
เนื่องจากเมื่อมีเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันบนปราสาทตาเมือนธม ทหารเขมรก็มีการเสริมกำลังพร้อมอาวุธมาประชิดชายแดนโดยเฉพาะใกล้พื้นที่ ปราสาท จนฝ่ายทหารไทยก็ต้องส่งกำลังเข้ามาเพิ่ม
และโดยเฉพาะเมื่อมีการเผาศาลารวมใจหรือศาลา ที่ช่องบก ในพื้นที่ สามเหลี่ยมมรกต ไทย-ลาว-กัมพูชา ทหารเขมรก็ยิ่งเพิ่มกำลังเข้ามาในพื้นที่
และข้อตกลงระดับกลาโหมไทย-กัมพูชา จะให้ผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ไปเจรจาตกลงว่าจะถอยกำลังทหารกลับหลังแนวในจุดใดบ้าง แต่ในทางปฏิบัติแล้วกัมพูชามีทีท่าที่จะไม่ยอมถอย
โดยเฉพาะในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ที่ทหารไทยยังคงยึดอยู่ ไม่ได้มี คำสั่งให้ถอยออกจากปราสาทแต่อย่างใด เพราะถือว่าเป็นเขตแดนของประเทศไทย
นอกจากนั้นยังมีในพื้นที่ปราสาท โดนตวล ใกล้ผามออีแดง ใกล้ปราสาทเขาพระวิหารในพื้นที่อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ฝ่ายกัมพูชามีความเคลื่อนไหว อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งการวางกำลังบนพื้นที่สูงของพื้นที่ภูเขาที่สูงกว่า ฝ่ายทหารไทย และมีการเตรียมพร้อมราวกับ จะมีการสู้รบ ด้วยกำลังทหารจำนวนมากและอาวุธยุทโธปกรณ์
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทหารกัมพูชามีจิตใจรุกรบ เพราะมีการปรามาสทหารไทย ในเรื่องการรบ ที่สะท้อนออกมาในโซเชียลเขมร สร้างความมั่นใจว่าหากมีการสู้รบ ครั้งนี้ทหารกัมพูชาจะเป็นฝ่ายชนะ ไม่เหมือนการสู้รบเมื่อปี 2554 อีกแล้ว ด้วยมั่นใจในอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่มีมากขึ้น และมั่นใจในผู้นำประเทศอย่าง พลเอก ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีที่เคยเป็นผู้บัญชาการหน่วยทหารและร่วมรบในศึกเขาพระวิหารปี 2554 มาด้วย และมั่นใจในการสนับสนุนของจีน
อีกทั้งใน โซเชียลฯเขมร ใน แอคเค้าท์ ของทหารเขมรหลายคน ก็มีชาวเขมรเข้าไปคอมเม้นต์ ปรามาส ด้อยค่า ทหารไทยที่ดูสมาร์ท หล่อเท่ ใส่เครื่องแบบแบบฟุลออปชัน อุปกรณ์ครบ แต่เวลารบจริง ก็ อาจจะแพ้ทหารเขมรก็ได้
ฝ่ายความมั่นคงไทยมีการวิเคราะห์ว่า การที่กัมพูชายั่วยุและพยายามรุกรบ กับไทย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ จากขบวนการแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่ชายแดนด้านปอยเปต ตรงข้ามจังหวัดสระแก้วของไทย ที่ถือว่าเป็นรังใหญ่ ของขบวนการที่หลอกลวงคนไทยโดยเฉพาะ โดยมีนายพลเขมรคนสำคัญ อยู่เบื้องหลัง
นอกจากนั้นยังเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ ต่อความเคลื่อนไหวของกัมพูชากับจีน หลังมีการเปิดใช้ท่าเรือเรียม ที่รู้กันดีว่ากลายเป็นฐานทัพของจีน ในภูมิภาคนี้ไปแล้ว
และอีกประการหนึ่งเป็นการสร้างความเป็นชาตินิยม เพื่อเรียกคะแนนเสียงสนับสนุนนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกัมพูชา
เพราะพลเอก ฮุน มาเนต เองก็ต้องการกู้หน้าแก้มือ เพราะตนเองก็เคยร่วมรบกับทหารไทยในปี 2554 และพลาดท่าจนร่ำลือกันว่าได้รับบาดเจ็บ แต่เพียงเล็กน้อย
แม้ในภาพของการทูตการเมืองระหว่างประเทศจะเห็นภาพสมเด็จฮุน เซน กอดต้อนรับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยเมื่อครั้งเดินทางไปเยือนกัมพูชา หรือแม้ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของนายทักษิณ กับสมเด็จฮุน เซน หรืออาจจะสนิทสนมกันกับตระกูลชินวัตร
แต่ในเรื่องของดินแดนและศักดิ์ศรีประเทศ 2 พ่อลูก ตระกูล ฮุน แยบยลลึกซึ้ง ยิ่งนัก
เช่นเดียวกันฝ่ายไทย แม้ในระดับรัฐบาล ระดับกลาโหมจะคุยหรือสั่งการอย่างไร แต่ฝ่ายกองทัพ ก็ยังคงเป็นหลักในการตัดสินใจว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่ โดยมี พลเอกพนา แคล้ว ปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นกำลังหลัก ในการต่อสู้ และจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
ดังนั้นท่าทีของ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ ภูมิธรรม ต่อปัญหาชายแดนรอบบ้าน โดยเฉพาะกับกัมพูชา จึงเป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างยิ่ง