คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
แม้ว่า “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” จะออกมาป่าวประกาศว่า สงครามเศรษฐกิจของเขาจะเป็น “วันแห่งการปลดปล่อย” จากการที่สหรัฐฯถูกเอารัดเอาเปรียบจากประเทศต่างๆทั่วโลก โดยเขาวาดฝันว่า จะทำให้สหรัฐฯเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่กลับสร้างความเสียหายจนอาจจะทำให้สหรัฐฯต้องกลายเป็นประเทศโดดเดี่ยวบนเวทีโลกเลยทีเดียว
ทั้งนี้การที่ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดสงครามเศรษฐกิจต่อบรรดาพันธมิตรเก่าแก่ รวมไปถึงประเทศคู่แข่ง ที่เขากำหนดมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรเอาไว้ตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 50% แน่นอนว่าย่อมจะมีผลทำให้ชาวอเมริกันต้องแบกรับภาระอย่างหนักอึ้งกับสินค้านำเข้าด้านอุปโภคและบริโภค แถมดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ยังเกิดปั่นป่วนเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์อีกด้วยเช่นกัน!!!
โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม “มหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์” อายุ 94 ปีนักบริหารผู้ดำรงตำแหน่งประธาน“บริษัท Berkshire Hathaway” ที่มีธุรกิจอยู่ในครอบครองอย่างหลากหลายมากกว่า 160 ประเภท ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ และยังมีเงินสดในครอบครองอีกกว่า 348 พันล้านดอลลาร์ ได้ออกมาให้ความคิดเห็นว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่น่าจะใช้สงครามด้านการค้ามาเป็นอาวุธ จนมีผลทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดการปั่นป่วน” โดยเขายังได้กล่าวอีกว่า “การที่ชาวโลกถึง 7.5 พันล้านคนไม่พึงพอใจต่อนโยบายที่ประธานาธิบดีทรัมป์กระทำอยู่นั้น มิใช่สิ่งที่สมควรกระทำและถือเป็นนโยบายที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย”
ทั้งนี้มหาเศรษฐีบัฟเฟตต์ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า “ข้าพเจ้าต่อต้านนโยบายสงครามทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ ก่อนหน้าที่เขาจะออกมาป่าวประกาศด้วยซ้ำไป”
จากการให้สัมภาษณ์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลายครั้งหลายคราเมื่อเร็วๆนี้ รวมถึงการที่เขาออกมาให้สัมภาษณ์ต่อ “นิตยสารไทมส์” เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2025นี้ เกี่ยวกับความต้องการที่จะผนึกรวมแคนาดาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ โดยเขาให้เหตุผลที่ว่า “หากแคนาดาเข้ามาผนวกรวมเป็นรัฐที่ 51 สหรัฐฯก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากแต่ละปีสหรัฐฯต้องเสียดุลการค้าให้กับแคนาดาถึงปีละ 200 พันล้านดอลลาร์”
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังกล่าวต่อไปว่า สหรัฐฯจะไม่ใช้กำลังทหารในการผนวกรวมแคนาดา แต่การที่สหรัฐฯจะต้องใช้กำลังทหารในการผนวกรวมกรีนแลนด์นั้น ย่อมจะเกิดขึ้นได้ สืบเนื่องมาจากมีส่วนเกี่ยวข้องต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ
และจากการหยั่งเสียงของ “หนังสือพิมพ์แวนคูเวอร์ ซัน” เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2025 ได้รายงานข่าวในทำนองที่ว่า “ชาวแคนาดาถึง 9 ใน 10 คนไม่ต้องการที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ” อีกทั้งชาวอเมริกัน 6 ใน 10 คนก็ไม่สนใจที่จะผนวกรวมแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯด้วยเช่นกัน!!!
ทั้งนี้ “นายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์” ที่เพิ่งได้รับการเลือกให้เข้าไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของแคนาดาเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2025 ได้ออกมายืนยันว่า “การที่ประธานาธิบดีทรัมป์หวังจะให้แคนาดาตกไปเป็นของสหรัฐฯ จะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
ชัยชนะของนายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ ซึ่งเป็นผู้นำที่ยึดหลักในการมุ่งรับใช้ประชาชน เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเอง ดูๆไปแล้วช่างสวนทางกับประธานาธิบดีทรัมป์อย่างสิ้นเชิง
และการเลือกตั้งเมื่อวันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม 2025ในประเทศออสเตรเลียที่มีผู้นำฝ่ายหัวก้าวหน้า “แอนโทนี อัลบาเนส” ซึ่งเป็นนักการเมืองค่ายพรรคกรรมกรสามารถได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ในสมัยที่สอง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้บรรดาสำนักหยั่งเสียงต่างคาดการณ์กันว่า เขาอาจจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับนักการเมืองค่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งถือเป็นการพิสูจน์ทำนองเดียวกันกับนายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ ของแคนาดา ที่ดูเหมือนว่าขณะนี้ชาวโลกไม่นิยมนักการเมืองหัวเอียงขวาสุดโต่งกันแล้ว
สองกรณีของการเมืองทั้งแคนาดาและออสเตรเลีย ทำให้เห็นกันค่อนข้างเด่นชัดแล้วว่า ขณะนี้แนวโน้มทางการเมืองของประเทศทั่วโลกกำลังเดินสวนทางกับการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับการชะลอของเศรษฐกิจ ที่อาจจะเป็นผลพวงของการประกาศสงครามทางเศรษฐกิจนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาตอบว่า “อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้” แถมเขายังได้กล่าวโอ้อวดในสไตล์ของเขาอีกด้วยว่า “นโยบายสงครามเศรษกิจของเขา จะมีผลทำให้สหรัฐฯกลับเป็นประเทศที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้”
ในรายการ “Meet the Press” ของ“สถานีโทรทัศน์ช่องเอ็นบีซี” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2025 ที่มีเนื้อหาครอบคลุมในหลายๆประเด็นที่น่าสนใจอาทิเช่น
การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมากล่าวปกป้องในประเด็นการขึ้นภาษีศุลกากรของตนว่า ประชาชนคนอเมริกันไม่กังวลเกี่ยวกับราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับการที่เขาออกมาประกาศว่า จะลงสมัครเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในสมัยที่สามนั้น เท่าที่ผ่านมาเขาเคยออกมากล่าวว่า “มีความรู้สึกสนใจ” แต่จากการออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกที่เขากล่าวว่า “ไม่ต้องการจะลงแข่งขันเลือกตั้งสมัยที่สามแล้ว เพราะขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญ”
ส่วนใครคือผู้ที่จะเข้าไปสืบทอดเป็นทายาททางการเมืองของเขานั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ระบุว่า ผู้ที่จะเข้าไปสืบทอดต่อจากเขาก็อาจจะเป็น “รองประธานาธิบดีเจ.ดี.แวนซ์” และ “รัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ” นั่นเอง
อย่างไรก็ตามหากหันมาดูความเห็นของชาวโลกเกี่ยวกับประธานาธิบดีทรัมป์นั้น จากการหยั่งเสียงของ “European Council on foreign Relations” ต่อประเทศต่างๆรวม 24 ประเทศ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2024 ปรากฏว่า ชาวอินเดียถึง 84% เห็นว่า การกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์ถือเป็นสิ่งดีต่อประเทศอินเดีย ส่วนชาวเกาหลีใต้กลับมีความเห็นตรงกันข้าม ที่แสดงความนิยมชมชอบแค่เพียง 11% เท่านั้น
ส่วนความคิดเห็นของชาวอเมริกันที่เคยมีความชื่นชมต่อประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 53% ครั้งที่เขาก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวใหม่ๆ แต่ตอนนี้คะแนนนิยมราวงลงอยู่ที่ 40% โดยชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต่างพากันวิตกกังวลกันว่า สงครามเศรษฐกิจจะมีผลทำให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจและจะเกิดปัญหาเงินเฟ้อ
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นจะเห็นได้ว่าขณะนี้ชาวอเมริกันและบรรดาผู้นำในวงการธุรกิจของสหรัฐฯต่างออกมาแสดงความไม่พึงพอใจต่อนโยบายหลักๆของ“ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” โดยเฉพาะนโยบายสงครามเศรษฐกิจ ที่อาจจะทำให้สหรัฐอเมริกาต้องเดินเข้าสู่การเป็นประเทศโดดเดี่ยว แถมเศรษฐกิจของสหรัฐฯก็กำลังจะก้าวเข้าไปสู่สถานะชะลอตัว มีผลทำให้ประชาชนระดับล่างต้องเผชิญกับความเป็นอยู่ที่แสนยากลำบากมากยิ่งขึ้นทุกๆวันละครับ