ต้องโหวตลงคะแนนกันถึง 2 รอบ กว่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเยอรมนี ประเทศเจ้าของฉายาเมืองเบียร์ ซึ่งคุ้นปากของใครหลายๆ คน

สำหรับ การก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนใหม่ของ “นายฟรีดริช แมร์ซ” หัวหน้า “พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน” หรือ “ซีดียู” หรือตามสำเนียงภาษาเยอรมัน “เซเดอู” ซึ่งมีขึ้นเมื่อช่วงกลางสัปดาห์นี้

นายฟรีดริช แมร์ซ รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยประธานาธิบดีฟรังก์ วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ แห่งเยอรมนี หลังชนะโหวตรอบสอง (Photo : AFP)

ภายหลังจากที่นายแมร์ซ นำพาพรรคซีดียู คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส. ครั้งที่ 21 ของเยอรมนี ที่นอกจากชนะเลือกตั้งแล้ว ก็ยังได้ที่นั่ง สส. เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งก่อนอีกด้วยถึง 11 ที่นั่ง คือ 208 ที่นั่ง จากจำนวน สส.ในบุนเดสทาก หรือสภาผู้แทนราษฎรของเยอรมนี จำนวนทั้งสิ้น 630 ที่นั่ง

ทั้งนี้ แม้ได้ สส.เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีจำนวนไม่มากพอที่จะเป็นเสียงข้างมาก เพื่อจัดตั้งรัฐบาลแบบพรรคเดียว อันเป็นแนวทางทางการเมือง การบริหารปกครองของเยอรมนี ที่มีมาตั้งแต่หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ต้องเจรจาพรรคการเมืองอื่นๆ มาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเป็น “รัฐบาลผสม”

ส่งผลให้ต้องใช้ระยะเวลานานอยู่พอสมควร สำหรับการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของบรรดานักวิเคราะห์ ที่แสดงทรรศนะว่า อาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะจัดตั้งรัฐบาลผสมกันได้

และก็เป็นไปตามคาด ที่นายแมร์ซ และพลพรรคซีดียู กว่าจะเจรจาเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมได้สำเร็จ ก็ต้องใช้เวลานานกว่า 2 เดือน

โดยจะเป็นรัฐบาลผสม ที่ประกอบด้วย 3 พรรคด้วยกัน ได้แก่ “พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน” หรือ “ซีดียู” ที่มีนายแมร์ซ เป็นหัวหน้าพรรค “พรรคสหภาพสังคมคริสเตียนในบาวาเรีย” หรือ “ซีเอสยู” หรือภาษาเยอรมันอ่านว่า “เซเอสอู” ที่มีนายมาร์คัส โซเดอร์ เป็นผู้นำพรรค และ “พรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี” หรือ “เอสพีดี” หรือภาษาเยอรมันว่า “เอสเพเด” ของนายโอลาฟ โชลซ์ ผู้กลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนีไปแล้ว

นายฟรีดริช แมร์ซ สาบานตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีนางยูเลีย โคลคเนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรเยอรมนี เป็นสักขีพยาน (Photo : AFP)

ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงพรรคซีดียู และพรรคซีเอสยู จัดว่าเป็นพรรคพันธมิตรทางการเมืองระหว่างกัน โดยมีพรรคซีดียูเป็นผู้นำ ดังนั้นในบางครั้งก็มักจะเรียกพรรคสองพรรครวมกันว่า “พรรคพันธมิตร ซีดียู/ซีเอสยู” ซึ่งในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ก็ได้ร่วมมือกันในการชิงชัยบนสมรภูมิเลือกตั้ง ที่ปรากฏว่า ได้ สส.รวมกันแล้ว 208 ที่นั่ง

ส่วนพรรคเอสพีดี ของอดีตนายกรัฐมนตรีโชลซ์ ตามมาเป็นอันดับ 3 ได้ 120 ที่นั่ง ลดลงจากการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้าถึง 86 ที่นั่ง

ขณะที่ พรรคการเมืองที่ได้อันดับ 2 จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด คือ พรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี หรือเอเอฟดี หรือตามสำเนียงเยอรมันว่า “อาเอฟเด” ภายใต้การเป็นผู้นำร่วมของ “นางอลิซ ไวเดล” โดยพรรคเอเอฟดี ได้ สส.มาถึง 152 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 69 ที่นั่ง ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่า พรรคเอเอฟดี กวาดที่นั่งในพื้นที่ภูมิภาคตะวันออกของเยอรมนี และส่วนใหญ่ที่ลงคะแนนให้ก็เป็นคนหนุ่มสาว หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่

นายโอลาฟ โชลซ์ และนายฟรีดริช แมร์ซ ต่างแลกช่อดอกไม้ให้กัน ระหว่างที่นายโชลซ์ ส่งมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีอย่างเป็นทางการให้แก่นายแมร์ซ (Photo : AFP)

อย่างไรก็ตาม เพราะแนวคิด แนวนโยบายของพรรคเอเอฟดี เป็นไปในแบบขวาจัด ชาตินิยมสุดโต่ง กอปรกับมีพวกกลุ่มขวาจัดนอกเยอรมนี รวมทั้งนายอีลอน มัสก์ ให้การสนับสนุน ก็ทำให้กลายเป็นสาเหตุปัจจัยประการหนึ่ง ที่พรรคเอเอฟดี ไม่ถูกพรรคพันธมิตร “ซีดียู/ซีเอสยู” เชิญเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสม ในขณะที่ พรรคพันธมิตร “ซีดียู/ซีเอสยู” มีแนวคิด แนวนโยบายแบบกลาง-ขวา ส่วนพรรคเอสพีดี มีแนวคิด แนวนโยบายแบบกลาง-ซ้าย คือ จะอนุรักษ์นิยม เสรีนิยม หรือสังคมนิยม ก็เป็นแบบกลางๆ ไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง ซึ่งถ้าหากพรรคพันธมิตร “ซีดียู/ซีเอสยู” เชิญพรรคเอเอฟดี เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสมแบบ 2 พรรค ก็ทำได้แล้ว เพราะจำนวน สส. มีมากเกินกว่ากึ่งหนึ่ง คือ 316 เสียงอย่างท่วมท้น โดยจะมี สส.สองพรรคนี้รวมกันถึง 360 เสียง อันจะทำให้รัฐบาลผสมมีเสถียรภาพมั่นคงกว่าได้พรรคเอสพีดี มาร่วมด้วยซ้ำที่จำนวน 328 ที่นั่ง เท่านั้น แต่เพราะแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว จึงทำให้ไม่ได้ถูกเชิญเข้าร่วมข้างต้น

เมื่อเจรจารวมกันจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว ก็ถึงเวลาลงคะแนนของเหล่า สส. เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกันต่อไปเมื่อช่วงกลางสัปดาห์นี้ ซึ่งผลปรากฏว่า ในการโหวตรอบแรก นายแมร์ซ ได้คะแนน สส.ในสภา เพียง 310 เสียง ซึ่งไม่ถึงกึ่งหนึ่ง 316 เสียง ตามที่ตกลงกันไว้ โดยมี สส.โหวตคัดค้านจำนวนถึง 307 เสียง งดลงคะแนน 3 เสียง ทำบัตรเสีย 1 เสียง และไม่เข้าประชุม 9 เสียงด้วยกัน

เรียกว่า นายแมร์ซ แพ้โหวตรอบแรก โดยมีรายงานว่า สส.ของพรรคเอสพีดีหลายคน ไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้ คือ “เบี้ยว” นั่นเอง และถือเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ของเยอรมนี นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ที่พ่ายโหวตรอบแรก

นายฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี พร้อมด้วยคณะรัฐบาลเยอรมนีชุดใหม่ของเขา ถ่ายภาพร่วมกัน (Photo : AFP)

เมื่อเป็นดังนี้ ตามรัฐธรรมนูญเยอรมนี ก็กำหนดให้ลงโหวตรอบสอง ภายใน 14 วัน แต่ปรากฏว่า ในการโหวตรอบสองอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา นายแมร์ซ ได้รับชัยชนะ โดยได้คะแนนเสียง 325 เสียง ก่อนที่ประธานาธิบดีฟรังก์ วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ แห่งเยอรมนี จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศอย่างเป็นทางการ ซึ่งภารกิจแรกหลังดำรงตำแหน่ง ก็คือ การเดินทางเยือนฝรั่งเศสและโปแลนด์อย่างเป็นทางการ เพื่อฟื้นฟูบทบาทของเยอรมนีในฐานะผู้นำแห่งภูมิภาคยุโรป

นายฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี พบปะกับประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ในการเดินทางเยือนฝรั่งเศส ที่ถือเป็นภารกิจแรกหลังรับตำแหน่ง (Photo : AFP)

อย่างไรก็ดี บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า จากการที่นายแมร์ซกว่าจะชนะโหวตเลือกนายกฯ มาได้อย่างที่ภาษาบ้านๆ ว่า หืดจับ หรือหืดขึ้นคอ นั้น ก็สะท้อนให้เห็นว่า การบริหารประเทศเยอรมนีของเขานับจากนี้ ก็มิใช่เรื่องง่ายๆ อีกเช่นกัน เพราะนอกจากฝ่ายค้านแล้ว ก็ยังมี สส.พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน อย่างพรรคเอสพีดี ที่เบี้ยวการโหวตกันมาครั้งหนึ่งแล้ว ก็อาจจะเล่นบทบาทเป็นฝ่ายค้านในคณะรัฐบาลเสียเอง จนเป็นอุปสรรคในการดำเนินนโยบายต่างๆ ท่ามกลางความท้าทายจากภายนอกประเทศ เช่น สหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และรัสเซีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ที่ยังคอยรุมเร้า