ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ในความเป็นชีวิตหนึ่ง..เราต่างมีบ้านและเมืองเป็นเจตจำนงที่ฝังลึกอยู่กับใจของความทรงจำด้วยกันถ้วนทุกคน..มันคือนิวาสถานอันงดงามของกาลเวลา ที่สร้างนิยามความหมายให้แก่ชีวิตอย่างติดตรึง บ้านนับเป็นที่อยู่อาศัยซึ่งถือเป็นแหล่งกำเนิด..ส่วนเมืองคือพื้นที่ชีวิตที่สรรค์สร้างความเติบโตแก่ตัวตนของทุกผู้ทุกคน..จนยากจะปฏิเสธ..
ประสบการณ์แห่งรสสัมผัสของบ้านและเมือง จึงครอบคลุมอยู่กับสถานะแห่งการรับรู้..ดั่งเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านเพาะลงไปในผืนดิน..ด้วยจิตศัทธามีที่ไม่มีสิ่งใดสามารถมาขวางกั้นได้..แม้เมื่อใด!!!”
ปฐมบทแห่งความคิดข้างต้น..คือฐานรากจากหนังสือรวมบทกวีจำนวน 59 บท..ของ “ก้าววิโรจน์ ดำจำนงค์” กวีฝีมือดีชาวใต้ผู้ถ่ายทอดประสบการณ์อันมีความหมายสำคัญของชีวิตออกมาเป็นรูปรอยแห่งสัมผัสรู้ในลีลาภาษาอันหยั่งลึก ผสานเข้ากับจินตนาการที่คล้ายดั่งโครงสร้างแห่งวิถีศรัทธาอันเติบกล้า..
“เพราะฉันศรัทธา/จึงฝังเมล็ดพันธุ์ลงในดิน/เชื่อว่าสักวันหนึ่ง/มันจะมีโอกาสเติบโตขึ้นมา/เพราะศรัทธาเล็กๆนี้/จึงก่อให้เกิดประกายในหัวใจฉัน/”
“ก้าววิโรจน์” เขียนบทกวีดุจการร่ายเรียงชีวิต มันมีจุดกำเนิด ผ่านสถานที่และกาลเวลา..มีจุดปะทะความรู้สึกผ่านมวลสารของอารมณ์ความรู้สึกในนานาสำนึก..กระทบใจและแม่ตรงต่อการรับฟังรับรู้ในผัสสะนั้นๆ..
“ในชีวิตจริงของฉัน/บทกวีเป็นเพียงความเพียรพยายามที่ฉันคิดและเขียนขึ้น/ท่ามกลางความโดดเดี่ยว/และมันจะกลายเป็นความว่างเปล่า/ที่ไม่มีความหมายใดเลย” ปูมประวัติแต่ครั้งอดีตเมื่อยังเยาว์วัยคือบริบทแห่งสัญชาตญาณ ที่เป็นเค้าโครงชีวิตแห่งตัวตนของบทกวี..มีที่มาของความหวัง และมีพลังก้าวเดินของชีวิตอยู่ในข้อตระหนักที่สมควรแก่การสดับยิน.และตีความ.!
“ตอนเป็นเด็ก/ฉันเดินไปโรงเรียน/บนถนนดินลูกรัง/ฉันแอบฝังตัวเองอยู่ในกรวดเม็ดน้อย/ซ่อนความอ่อนไหวในหัวใจดอกไม้_/ ขณะอยู่หน้าชั้นเรียน/ฉันยืนร้องไห้หลังกระดานดำ/และเก็บตัวเงียบ/ขณะคนอื่นเล่นสนุกสนานอยู่กลางสนาม/ฉันยากจนเกินไป/พ่อแม่มีอาชีพทำนา/ฉันจึงต้องฝืนยิ้ม/ว่าไม่เป็นไรแม้ถูกถากถาง/..”
ภาวะการเก็บตัวเงียบ..ภาวะการต้องยืนร้องไห้อยู่หลังกระดานดำ..คือภาพสะท้อนของเด็กยากจนในชนบทที่มีสภาวะอันหม่นมืดไม่ต่างกัน..มันคือตัวตนของอดีกที่กลายเป็นรากเหง้าของความเติบใหญ่ที่ว่า..จะเเข็งแกร่งพอที่จะลบเลือนบาดแผลแห่งชะตากรรมอันยากจะลบเลือนนั้นไหม?...!
สิ่งเหล่านี้เปรียบดั่ง “ขยะค้างใจ” ที่ทิ่มตำหัวใจในทุกเมื่อเชื่อวันแม้เติบใหญ่..มันจึ่งคือสีสันของชีวิตที่ต้องจดจำตลอดไปแม้ใจไม่ปรารถนา..ทุกสิ่งคือสัจธรรมอันทุกข์เศร้าของอดีต/ที่ต้องจดจำและกลืนกิน..!
“มันอยู่ในใจฉันตลอดเวลา/....ถึงวันนี้แม้ฉันอยู่ในป่าคอนกรีต/ฉันไม่อาจลืมเลือนมันได้เลย”
ในสัญชาตญาณ.. “ก้าววิโรจน์” มองสภาวการณ์ของประเทศชาติที่อัปลักษณ์ ณ วันนี้เป็นเช่นไร?..ด้วยชีวิตที่เติบโตมาเป็นชีวิต..สายตาของกวีมองเห็นสิ่งเหล่านี้บ้างหรือไม่?..อย่างไร?..
“..ในฐานะประชาชน/ฉันมองเห็นความสวยงามของดอกไม้/..แต่มองไม่เห็นความสวยงามของนักการเมือง” ดิ่งลึกลงไปในเนื้อในแห่งความทรงจำของก้าววิโรจน์/กับความยากจน กับพี่น้องห้าคน กับความภาคภูมิใจในโครงสร้างชีวิตของพ่อและแม่ที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อบาปเคราะห์ที่รานรุกอยู่เนืองๆ..
“..พ่อของฉันเป็นคนทำไร่ทำนา/แบกพร้าเข้าป่า_/...พ่อไม่ได้เดินทางออกไปตามอำเภอใจ/แต่เดินออกไปตามจิตวิญญาณ/ที่ได้รับคำสั่งจากจิตใต้สำนึก/ให้เข้าป่าหาของกินเพื่อลืมความยากไร้/..พ่อบอกข้าว่าชีวิตเป็นของหายาก/ข้าเห็นว่าไม่ยากตรงไหน/ผู้หญิงกับผู้ชายได้กันเดี๋ยวก็ได้ชีวิต”
“พ่อ”..คล้ายดั่งเป็นหลักชัยของชีวิตของ “ก้าววิโรจน์” เปรียบเทียบอันทรงพลังในบทกวีบทสำคัญของเขา..มาจากแรงเหวี่ยงเห็นปัญญาญาณที่พ่อมอบให้เขา..ด้วยพื้นฐานสามัญของคำสอนแต่กลับสร้างค่าความหมายในเชิงเปรียบเทียบนัยความคิด..ออกไปอย่างกว้างไกล และเปี่ยมเต็มไปด้วยพลัง..
วันหนึ่งข้าไปพบนักกฎหมาย/นักกฎหมายบอกว่าชีวิตตั้งแต่เกิดมามีลมหายใจ/ข้าไปพบพระ พระว่าชีวิตคือกรรมเวร/ข้าไปพบนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์บอกว่าชีวิตเป็นการทดลอง/ข้าจึงอ่านหนังสือเรื่องขวัญเรียม พบว่าตอนจบจบลงด้วยความตาย/ข้าอ่านหนังสือเรื่องโรมิโอและจูเลียต พบว่าตอนจบจบลงด้วยความตาย/ข้าอ่านหนังสือเรื่องประเทศจีนกับประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าตอนจบจบลงด้วยความตาย/ข้าอ่านหนังสือเรื่องสองครามโลก พบว่าตอนจบจบลงด้วยความตาย/
..ในเมื่อข้ารู้แล้ว ข้าจึงไม่โง่หรอก../ข้าไม่เชื่อหรอกนักกฎหมาย/ไม่เชื่อหรอกพระ/ไม่เชื่อหรอกนักวิทยาศาสตร์/ข้าเชื่อพ่อ/ข้าเชื่อว่าชีวิตเป็นของหายาก..
“ก้าววิโรจน์” ยึดถือเอารากเหง้าแห่งบรรพชนเป็นเรื่องสำคัญ..สิ่งที่ถูกเลือกสรรมาเป็นหัวใจของบทกวีในแต่ละบท..มีน้ำคำแห่งจิตวิญญาณที่สัมผัสได้แฝงฝังอยู่ มันเป็นทั้งอัศจรรย์แห่งข้อประจักษ์ในชีวิต..และอัศจรรย์ที่อุบัติขึ้นเหนือธรรมชาติแห่งโชคชะตา..
“นานมากที่ไม่ได้พบกัน/เราสูญเสียความสัมพันธ์กันนานเท่าไหร่แล้ว/รากเหง้าเรายังมั่นคงหรือไม่/เหมือนล่องลอยอยู่ในความคิดถึง_/มีริ้วรอยและเกิดบาดแผลเหมือนกัน/เหมือนเชือกเกลียวสัมพันธ์ที่เปื่อยผุ/ความห่างเหินมันห่างเหิน มันโจมตีเรา/และเราก็ไม่กล้าฝ่ามันไป”..
...คำบอกเล่าอันจริงแท้และเจ็บปวดนี้..เหมือนการกรีดหัวใจของคนต่างจังหวัดออกมาเขียน..มันเป็นอารมณ์ร่วมที่ไม่เคยลบเลือนและตัดขาดออกไปจากชีวิตได้.. “เราสูญเสียความสัมพันธ์กันไปนานเท่าไหร่แล้ว” ..คือบทกวีที่ทำให้หัวใจผมร้องไห้..เราอาจรู้คำตอบที่กระทบใจ..แต่กลับไม่กล้าเปล่งวาจาบอกกล่าวคำตอบในความรู้สึกใดๆออกมา..
..ในความเจ็บปวด ในความรวดร้าว ในความทรมาน มันไม่มีแรงกระตุ้นใดอีกแล้วหรือ .. ที่จะทำให้เรากลับไปสวมกอดกันอีกครั้ง..”
ภาพลักษณ์แห่งความเป็น “บ้าน” ปรากฏชัดในฉากแสดงอันอบอุ่น ผูกพัน และโหยหา..ตำนานชีวิตแห่งบ้านเกิดคือพลังขับเคลื่อนให้บทกวีชุดนี้มีตัวตน..และส่งความหมายในทุกๆความหมายให้มีชีวิตชีวา..ส่งผลลัพธ์ต่อการเปรียบเทียบกับ “เมือง”..ที่ชีวิตจำต้องเผชิญหน้าด้วยโชคเคราะห์อย่างหดหู่..ไร้ทางสู้..ที่จะดำรงอยู่อย่างสง่างาม..
เมื่อ..ชีวิตย่างก้าวเข้าสู่เมือง..เราก็ได้สัมผัสกับ"ยักษ์มาร"มากมาย..ในความเปรียบแห่งความหมิ่นแคลน และรีดนาทาเร้น..เราต่างเหมือนไม่ใช่มนุษย์ในนามของมนุษย์ แต่มันกลับเปรียบดั่งเหยื่อ..ที่ไร้..ทางรอดแม้เพียงน้อย..
“ทุกวันนี้น่ะหรือ..ข้าไม่ได้สู้รบกับใครที่เป็นพลเมืองในประเทศนี้/พวกเขาคือผู้ร่วมชะตากรรม/แต่สิ่งที่ข้าเผชิญคือยักษ์มาร../..วันก่อนข้าไปเจอยักษ์ในธนาคาร ข้าถามยักษ์ว่าเจ้ามาทำอะไร/ยักษ์ตอบว่าก็ข้าอยู่ในนี้/เจ้าล่ะ..มาทำอะไร_/..วันต่อมาข้าไปเจอยักษ์ในห้างสรรพสินค้า/ข้าถามยักษ์ว่าเจ้ามาทำอะไร/ยักษ์ตอบว่า..ข้าอยู่ในนี้/เจ้าล่ะ..มาทำอะไร/..
และ..เมื่อสักครู่..ข้าเพิ่งออกมาจากร้านสะดวกซื้อ/ก่อนออกมา ลูกสมุนของยักษ์ถามข้าว่า/รับไส้กรอกเพิ่มไหมคะ..กำลังโปรโมชั่น/มีไส้หมู ไส้มนุษย์ ไส้ม้า ไส้วัว ไส้ควาย ไส้เดือน..และไส้อะไรอีกหลายไส้ ข้าจำไม่ได้.._/...ข้าเป็นคนตัวเล็ก จะไปสู้รบปรบมือกับยักษ์มารไปได้อย่างไร..?”
เหล่านี้..คือเรื่องราวแห่ง"คนตัวเล็กในสังคม"..คนที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยหัวใจของการต่อสู้เพื่อข้ามพ้นชะตากรรม..
..แต่ตราบใดที่โลกยังเป็น “โลกย์” ภาพสะท้อนอันเคลือบแคลงของมัน ก็ย่อมปรากฎขึ้นท่ามกลาง กงล้อแห่งชะตากรรมและสถานะชีวิตอันไม่เท่าเทียม..
“ก้าววิโรจน์” มองสถานะของ “ความเป็นบ้าน” ด้วยร่มเงาแห่งสีอันอบอุ่นและเป็นมิตร..เเละมอง.. “วิถีวิถีแห่งเมือง”..ด้วยสถานะแห่งใจอันเกรี้ยวกราด พุ่งตรง และขบกัด..มันคือ “เจตจำนงของกวี” ที่เสียดแทงอย่างเด่นชัด และ..รุกเร้าต่อแก่นแกนของจิตสำนึกอันเดือดพล่าน รสสัมผัส..ของรวมบทกวีขุดนี้ จึ่งคือการเบิกประจานความจริงแท้ของสังคมประเทศ ที่ผุกร่อน และเสื่อมทรุด จนยากจะเยียวยาและให้อภัย..
แต่ตราบใด..ที่ยังคงมีใครตระะหนักรู้ และ ยินเสียงอันหดหู่น่าเวทนาของมัน...นั่นก็เท่ากับว่า..เราได้โอบกอด..ซากร่างอันยับเยินของชีวิตเหนือชีวิตของเรา..เอาไว้แล้ว..มันคือมรรคาแห่งสัจจะที่ชีวิตเราต้องเลือก...โดยมิอาจข้ามผ่านและปฏิเสธเป็นอื่นได้...!!!
“ข้าว่ายเวิ้งอยู่วันแล้ววันเล่าในมวลชีวิต/กลิ่นอวลทั้ง สุข โศก เศร้า และ ความทุกข์/จึ่งหลอมรวมอยู่ในตัวข้า/..ก่อนข้าจะตายจากไป!”