สถานการณ์ประเทศไทยในปี 2568 เผชิญทั้งพายุการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจที่หนักหน่วง โดยเฉพาะรัฐบาลที่นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งกำลังเจอกับแรงกดดันรอบด้าน จนมีความเสี่ยงสูงที่ “รัฐนาวาเพื่อไทย” อาจอัปปางกลางทาง หากไม่สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คดีทักษิณ “ชั้น 14” สั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาล
หนึ่งในปัจจัยหลักที่เขย่าการเมืองไทย คือ คดีอาญาชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีนี้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด และมีแนวโน้มจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในทางการเมือง
หากผลการพิจารณาออกมาในทิศทางที่นายทักษิณได้รับการยกเว้นโทษ หรือ “หลุดคดี” อาจสร้างแรงต้านจากประชาชนและฐานเสียงเดิมของพรรคเพื่อไทย ที่มองว่าพรรคอ่อนข้อให้กลุ่มอำนาจเก่า และมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมืองเบื้องหลัง ซึ่งจะกระทบต่อความนิยมและเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะยาว
ในทางกลับกัน หากศาลตัดสินอย่างเด็ดขาดและเป็นธรรม ก็อาจกลายเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยก้าวพ้นความขัดแย้งเดิม และเรียกความเชื่อมั่นจากประชาคมโลกกลับคืนมา
ความเสี่ยงลามระดับนานาชาติ หากคดีทักษิณจุดชนวนความรุนแรง
การตัดสินคดีทักษิณ ยังมีผลในระดับระหว่างประเทศ หากเกิดความรุนแรงจากการประท้วง หรือมีข้อครหาเรื่องการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม ประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐฯ หรือสหภาพยุโรป อาจใช้มาตรการกดดันทางการทูต และทบทวนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า หรือความมั่นคงกับไทย
เศรษฐกิจไทยเผชิญพายุซ้อน ธนาคารโลกหั่น GDP เหลือ 1.6%
ในขณะเดียวกัน ด้านเศรษฐกิจไทยก็อยู่ในภาวะเปราะบางอย่างยิ่ง หลังธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยปี 2568 เหลือเพียง 1.6% และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s ปรับลดมุมมองเศรษฐกิจไทยจาก “เสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” สะท้อนความกังวลต่อเสถียรภาพนโยบายและความไม่แน่นอนทางการเมือง
ธนาคารโลกชี้ 4 ปัจจัยหลักฉุดเศรษฐกิจไทย
1.การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า ทำให้เม็ดเงินไม่ไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
2.หนี้ครัวเรือนสูงเกิน 90% ต่อ GDP เป็นอุปสรรคต่อการบริโภค
3.การส่งออกชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจากจีนและสหรัฐฯ
4.ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ เช่น โครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต ที่ยังไร้ความชัดเจน
ด้าน Moody’s ระบุว่า หนี้สาธารณะไทยที่เพิ่มขึ้น ความล่าช้าของนโยบายเศรษฐกิจระยะยาว และความเสี่ยงทางการเมือง คือสาเหตุหลักที่ทำให้ลดอันดับความเชื่อมั่น
ผลกระทบที่น่ากังวล: ดอกเบี้ยพุ่ง เงินบาทอ่อน การลงทุนหาย
การที่ธนาคารโลกและมูดี้ส์ปรับลดการคาดการณ์ GDP และมุมมองความน่าเชื่อถือเศรษฐกิจไทยจะส่งผลกระทบใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น จากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ค่าเงินบาทผันผวน และเสี่ยงต่อการอ่อนค่าต่อเนื่อง การลงทุนลดลง โดยเฉพาะการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) ที่อาจไหลไปยังประเทศคู่แข่งในอาเซียน เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย
“ดีลลับ” แพทองธาร กับสหรัฐฯ จะช่วยไทยรอดหรือไม่?
มีรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อาจอยู่ระหว่างการเจรจา “ดีลลับ” กับสหรัฐฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบจาก กำแพงภาษีตอบโต้ทางการค้า ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความหวังสำคัญ หากสามารถพลิกเกมการเมืองและเศรษฐกิจได้ทัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยพายุใหญ่ที่ซัดมาพร้อมกันทั้งสองด้าน หากรัฐบาลไม่เร่งสร้างความเชื่อมั่น และจัดการวิกฤตเหล่านี้อย่างเป็นระบบ “รัฐนาวาแพทองธาร” อาจอัปปางก่อนถึงฝั่ง
#พายุการเมือง #เศรษฐกิจไทย2568 #คดีทักษิณ #รัฐนาวาอุ๊งอิ๊งค์ #แพทองธาร #GDPไทย #Moody’sปรับลดเครดิตไทย #ธนาคารโลกหั่นGDP #ดีลลับสหรัฐ #เพื่อไทยเสี่ยงอัปปาง #การเมืองไทยวันนี้ #อนาคตเศรษฐกิจไทย #คดีชั้น14 #ศาลฎีกานักการเมือง #ASEANvsไทย #เรือเพื่อไทยฝ่าพายุ #สัญญาณเตือนเศรษฐกิจ #เสถียรภาพรัฐบาล