วันที่ 7 พ.ค.2568 เวลา 10.30 น.ที่รัฐสภา ที่อาคารรัฐสภา นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.พรรคประชาชน กล่าวถึง เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตอนนี้ น่าจะเกิดจากการแก้ปัญหาภาพรวม​ ยังไม่มีความชัดเจนและมีความลังเล​ในการกำหนดทิศทาง แม้นายภูมิธรรม เวชย​ชัย​ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีข้อสั่งการให้สมช.ทบทวนยุทธศาสตร์ ต้องแล้วเสร็จตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 แต่ล่วงเลยมาแล้ว​ พอหลังจากสถานการณ์รุนแรงขึ้น​ ก็มีการขีดเส้น 7 วัน  และวันนี้ก็ผ่านมาแล้วด้วย​ ขณะที่ข้อเสนอของฝั่งไทย ได้เจรจากับ BRN ก่อนหน้านี้ให้หยุดยิง เพื่อพิสูจน์ความเป็นตัวจริง แต่กลับมีความล้มเหลวเกิดเหตุลอบสังหารตั้งแต่เดือนเมษายน​ ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชน​ เกิดความไม่สบายใจ​ จากนั้นสถานการณ์ไต่ระดับ และหากสังเกตดีๆ​ความรุนแรงกำลังทำงาน เพื่อให้เกิดการตอบโต้

"หากความรุนแรงถาโถมลงไปเรื่อยๆ จะทำให้ผู้คนแบกรับความเสี่ยง ดังนั้น​ จะดำเนินการอะไรต้องเป็นเหตุเป็นผล และมองว่ากระบวนการสันติภาพต้องดันขึ้นจากหลายภาคส่วน ทั้งประชาชนในพื้นที่ชาวมุสลิมและไทยพุทธ รวมถึงอื่นๆ ต่างเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูการพูดคุย เพื่อให้มีพื้นที่ทางการเมือง พื้นที่ให้ประชาชนพูดคุยและส่งเสียง และย้ำว่าเรื่องนี้ว่าต้องถกเถียงกันด้วยเสียงประชาชน" 

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรี ควรเป็นหัวหน้าเจรจาเองหรือไม่ นายรอมฎอน กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมา กระบวนการเริ่มต้นมาตั้งแต่รัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร​ อดีตนายกรัฐมนตรี จึงไม่จำเป็นต้องเจรจาเอง แต่ต้องมีส่วนกำกับ ขณะที่รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯกำหนดระดับโดยมีคณะกรรมการพูดคุยซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองลงมาเป็นคณะกรรมการพูดคุยสันติสุข และคณะประสานงานในพื้นที่ แต่เมื่อเข้าสู่รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน และน.ส.แพทองธาร​ ชินวัตร โครงสร้างแบบนี้ไม่มี แต่ให้​ สมช.ดำเนินการภายในเอง

"ประกอบกับไทย ยังมีข้อกังขาว่า คณะพูดคุยของ BRN  เป็นตัวจริงหรือไม่​ นานแล้ว เรื่องทั้งหมดจึงควรเริ่มต้น​ จากฉันทานุมัติของแต่ละฝ่าย ที่แต่ละฝ่ายต้องมีการปรับ เพราะสุดท้ายทั้งสองฝ่ายจะพูดคุยกันได้คือต้องยุติสถานการณ์ปรปักษ์หรือหรือการลดความรุนแรงการเผชิญหน้า แม้ต่างฝ่ายต่างดำเนินการแต่สุดท้ายต้องมีองค์ประกอบร่วมกัน"

นายรอมฎอน กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมายังไม่ได้มีการกำหนดทิศทาง ตกลงกติกา มีแต่คณะผู้แทนเพื่อสันติภาพเท่านั้น ร่างเอกสาร และแผนสันติภาพเท่านั้น และแม้การเรียกร้องให้หยุดความรุนแรงของรัฐบาล ดูเหมือนสมเหตุสมผลแต่ไม่สอดรับกับความเป็นจริง  เพราะ BRN ยังคงใช้ความรุนแรงเป็นอำนาจต่อรอง ดังนั้น สิ่งที่ต้องคิด คือต้องเผชิญหน้า ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องคิดคือกำหนดวิธีการ ดำเนินการ เพราะมีความชอบธรรมมากกว่าเนื่องจากไม่ได้ใช้ความรุนแรง

เมื่อถามว่ารัฐบาลจะส่งนายทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปพูดคุยกับนายอันวา นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อยุติปัญหาเหตุความรุนแรงชายแดนใต้จะได้ผลหรือไม่ นายรอมฎอน กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า การริเริ่มพูดคุยกับมาเลเซีย เกิดจากความสามารถของนายทักษิณที่เดินทางไปใช้คอนเนคชั่น​ นำไปสู่การปูทางพูดคุยสันติภาพ แต่จนถึงปัจจุบันต้องยอมรับว่ามาเลเซียมีความสำคัญ​ เพราะมีส่วนได้ส่วนเสียทั้งประชากรและภูมิศาสตร์ที่อยู่ใกล้กัน จึงต้องมีการจัดวาง ให้เกิดความเหมาะสม การกันมาเลเซียออกจากกระบวนการแก้ไขปัญหาอาจจะสร้างปัญหามากกว่า และต้องยอมรับว่า ปัจจุบันไทยใช้มาเลเซียเป็นประตูทางเข้า ( engage)​ เพื่อพูดคุยกับ BRN ด้วย แต่สุดท้ายต้องขีดเส้น ใต้ว่า "เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในประเทศเรา  ต้องริเริ่มด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้ BRN หรือมาเลเซีย เป็นผู้กำหนดการพูดคุยหรือการฑูต" อย่างไรก็ตาม นายรอมฎอน กล่าวว่า​ พร้อมสนับสนุนรัฐบาลเพื่อเดินหน้าการพูดคุยไปสู่เส้นทางแห่งสันติภาพ