วันที่ 6 พ.ค.68 นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ระบุว่า...
การเตรียมลูกไปโรงเรียน ก่อนเปิดเทอม
ใกล้จะเปิดเทอมปีใหม่แล้ว เมื่อเด็กเปิดเทอม จะมีการรวมกลุ่มกันมากของเด็กนักเรียน การแพร่กระจายของโรค โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ เกิดได้ง่ายขึ้น จึงมีความสำคัญในการเตรียมลูก ก่อนเปิดเทอม
โรคโควิด 19 ขณะนี้ถือว่าจบแล้ว โรคได้เปลี่ยนเป็นโรคทางเดินหายใจโรคหนึ่ง โอกาสที่ติดต่อกันในเด็กนักเรียน โดยเฉพาะในฤดูฝน จะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก การปฏิบัติตนจึงเหมือนกับโรคทางเดินหายใจโรคหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเน้นเรื่องการล้างมือ ทำความสะอาดมือตามขั้นตอนต่างๆ ที่เคยปฏิบัติกันมา เด็กปกติไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่หน้ากากอนามัย จะใส่หน้ากากอนามัยในเด็กป่วยโรคทางเดินหายใจ หรือเพิ่งหายป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค เด็กส่วนใหญ่มีภูมิจากการที่เคยติดเชื้อหรือวัคซีนมาแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนเพิ่มเติมอีก
โรคทุกโรคป้องกันได้ควรจะได้รับการป้องกัน วัคซีน เป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันโรค ผู้ปกครองควรตรวจสอบ สมุดวัคซีนว่าได้ครบตามเกณฑ์หรือไม่ หรือปรึกษาแพทย์ที่ดูแลประจำว่าควรฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด
วัคซีนคอตีบ ไอ้กรน บาดทะยัก และโปลิโอส่วนใหญ่จะให้กันในวัยเด็ก และเข็มสุดท้ายที่ให้ส่วนใหญ่จะเป็น 4-6 ขวบ ดังนั้นโดยทั่วไปจะแนะนำให้ให้วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ชนิดเด็กโตหรือผู้ใหญ่ทุก 10 ปี โดยเฉพาะอายุที่ลงท้ายด้วยเลข 0 ดังนั้นเด็กในช่วง 10-12 ปีควรจะได้รับการกระตุ้นอีก 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานโดยเฉพาะต่อ ไอกรน ที่อาจจะมีการระบาดที่โรงเรียนได้
ไข้หวัดใหญ่ เป็นอีกโรคหนึ่งที่จะระบาดมาก ในเด็กนักเรียน โดยเฉพาะในเทอมแรก ดังนั้นก่อนเปิดเทอมเด็กนักเรียน ควรจะได้รับวัคซีน ป้องกันไข้หวัดใหญ่ ถึงแม้ประสิทธิภาพจะไม่ได้สูงนัก แต่สามารถลดความรุนแรงของโรค และวัคซีนราคาไม่แพงมาก รวมทั้งอาการข้างเคียงต่ำ
ในเด็กหญิงโดยเฉพาะป 5 ทางกระทรวงสาธารณสุขจะมีการให้วัคซีน ไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกในอนาคต
โรคสุกใส จะระบาดในเด็กนักเรียนได้โดยเฉพาะฤดูหนาว ถ้ามีความเป็นไปได้ (เพราะจะต้องเสียเงินเอง) ก็ควรจะได้รับวัคซีนให้ครบ โดยวัคซีนนี้จะต้องให้ 2 ครั้ง
สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือโรคหัด ผู้ปกครองทุกคนควรตรวจสอบว่าเด็กได้รับวัคซีน หัด หัดเยอรมัน และคางทูม มาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง ถ้าได้รับเพียงครั้งเดียว ก็ขอให้กระตุ้นอีก 1 ครั้ง
โรค RSV ถือว่าเป็นโรคที่พบบ่อย เป็นแล้วเป็นอีกได้ บางคนเป็นเกือบทุกปี ในเด็กแข็งแรงที่เข้าสู่ชั้นอนุบาลแล้ว ถือว่าโตพอแล้ว ไม่มีวัคซีนในขณะนี้ ถึงแม้จะมีภูมิต้านทานชนิดฉีด ในเด็กที่แข็งแรงที่จะเข้าโรงเรียน ก็ไม่มีความจำเป็น
ผมเองเชื่อมั่นว่า ถ้าทางโรงเรียนและผู้ปกครอง ได้ช่วยกันตรวจสอบ การให้วัคซีนในการป้องกัน อย่างน้อยวัคซีนพื้นฐาน ก็จะเป็นการลดการระบาดของโรคสำคัญต่างๆลงได้ และการเรียนของบุตรหลานก็จะได้ราบรื่น ไม่ต้องมีการปิดโรงเรียนเพราะโรคระบาด