ผ่านไปแล้วกับการเลือกตั้งทั่วไปทั้งในประเทศออสเตรเลีย เจ้าของฉายา แดนจิงโจ้ และในประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งล้วนเป็นการเลือกตั้งก่อนกำหนด คือ ก่อนหมดวาระการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส. กันทั้งสิ้น จากการที่นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา แล้วให้มีการเลือกตั้งฉับพลัน (Snap Election) ดังนั้น ระยะเวลาการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งจึงมีเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ก็ถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้งแล้ว ทำให้พรรคการเมืองฝ่ายค้านมักจะเตรียมตัวกันไม่ทัน และเป็นฝ่ายเสียเปรียบเมื่อเปรียบเทียบกับทางฝั่งพรรครัฐบาล
ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อว่า เหตุปัจจัยที่ทำให้ทั้งออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ต้องยุบสภา และเลือกตั้งก่อนกำหนดของทั้งสองประเทศข้างต้นนั้น มาจากผลพวงพิษภัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน เป็นหนึ่งในสาเหตุ
เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) อันส่งผลให้ปรับเพิ่มขึ้นของภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ แทบจะทั่วโลก เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
แน่นอนว่า ก็มีทั้งออสเตรเลียและสิงคโปร์ ติดร่างแห รวมอยู่ในรายชื่อประเทศที่ถูกประธานาธิบดีทรัมป์ ปรับขึ้นภาษีที่ว่านั้นด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจ การค้า ค่าเงินที่ผันผวน ค่าครองชีพที่ทะยานพุ่งสูง อันรวมไปถึงอาจจะเขย่าไปถึงเสถียรภาพรัฐบาลประเทศของพวกเขาต่อไปได้
ก็ต้องยอมรับว่า การเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของนายทรัมป์นั้น สร้างความสั่นสะเทือนเขย่าโลกกันโดยแท้
ถึงขั้นทำให้หลายๆ ประเทศต้องจัดการเลือกตั้งกันก่อนกำหนด เพื่อฟอร์มรัฐบาลกันใหม่ ในการรับมือกับผลกระทบจากประธานาธิบดีทรัมป์กันจ้าละหวั่น ท่ามกลางความคาดหมายว่า ผู้นำรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งก่อนกำหนดที่มีขึ้นนั้น ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดิม
สำหรับ ผลการเลือกตั้งทั่วไปของออสเตรเลียที่เพิ่งผ่านไปนั้น เพื่อเลือกตั้ง สส. 150 ที่นั่ง ปรากฏว่า พรรคแรงงานของนายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะเหนือกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายค้านอีก 2 พรรคหลักด้วยกัน คือ พรรคแนวร่วมพันธมิตรเสรีนิยม-ชาติ หรือแอลเอ็นพี และพรรคกรีน แถมมิหนำซ้ำ ยังเป็นชัยชนะอย่างท้วนท้นถล่มทลาย พร้อมกับได้ที่นั่ง ส.ส.เพิ่มขึ้นอีกต่างหากด้วย
โดยพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอัลบาเนซี ชนะเลือกตั้งไปด้วยคะแนนเสียงคิดเป็นร้อยละ 54.87 ได้ ส.ส. จำนวน 86 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 9 ที่นั่ง ส่งผลให้พรรคแรงงาน ที่นอกจากจะชนะเลือกตั้งแล้ว ก็ยังถือเป็นพรรคเสียงข้างมาก จัดตั้งรัฐบาลเองได้เลย เพราะได้ จำนวน สส. มากกว่ากึ่งหนึ่ง คือ มากกว่า 76 ที่นั่ง
ขณะที่ พรรคแนวร่วมพันธมิตรเสรีนิยม-ชาติ หรือแอลเอ็นพี ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ภายใต้การนำของนายปีเตอร์ ดัตตัน ตามมาแบบห่างเป็นอันดับ 2ได้คะแนนเสียงคิดเป็นร้อยละ 45.13 พร้อมกับจำนวน สส.ที่ได้มา 39 ที่นั่ง ลดลงจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 19 ที่นั่งด้วยกัน
นอกจากนี้ มีรายงานว่า นายดัตตัน ผู้นำพรรคแอลเอ็นพีเอง ก็ต้องสูญเสียที่นั่งของตนเอง ในการเลือกตั้งที่เขตดิกสัน ชานเมืองบริสเบน ที่เขาครอบครองมานานกว่า 20 ปีในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มาอีกต่างหากด้วย ก็เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า นายดัตตัน อาจจะต้องลาออกจากตำแหน่งผู้นำพรรคแอลเอ็นพี เพื่อรับผิดชอบกับความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในการเลือกตั้งอันสุดแสนจะเจ็บปวดสำหรับเขาในครั้งนี้
ทางด้าน พรรคกรีน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพรรคฝ่ายค้าน ภายใต้การนำของนายอดัม บันด์ต ปรากฏว่า ได้คะแนนเสียงแบบรวมกันแล้วทั่วประเทศคิดเป็นเพียงร้อยละ 11.92 และผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคกรีน ก็พ่ายแพ้ทุกเขต ทำให้ครั้งนี้ พรรคกรีน ไม่ได้ สส.แม้แต่คนเดียว แตกต่างจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ที่ได้ สส.มา 4 ที่นั่ง
ผลการเลือกตั้งของออสเตรเลียที่ออกมาข้างต้น ก็ทำให้นายอัลบาเนเซี ได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของประเทศ เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นคนแรกในรอบ 20 ปี ที่ทำได้
บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้นายกรัฐมนตรีอัลบาเนซี นำพาพรรคแรงงานประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็มาจากการที่เขาประกาศตอบโต้ต่อประธานาธิบดีทรัมป์อย่างทันควัน ทันทีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ โดยนายกรัฐมนตรีอัลบาเนซี กล่าวโต้ตอบว่า “นี่ มิใช่การกระทำของมิตร” ซึ่งการโต้ตอบอย่างทันทีทันใดของนายกรัฐมนตรีอัลบาเนซี ได้กลายเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงภาวะผู้นำของเขาในสายตาประชาชนชาวออสเตรเลียไปโดยปริยาย
สวนทางแตกต่างจากนายดัตตัน ผู้นำพรรคาแอลเอ็นพี ที่ออกมากล่าวว่า เขาสามารถที่จะเจรจาเพื่อยกเว้นภาษีต่อประธานาธิบดีทรัมป์ได้ ซึ่งประชาชนชาวออสเตรเลีย กลับมองว่า เป็นคำพูดที่ไม่สมจริง และไม่เชื่อว่า นายดัตตันจะทำได้ เพราะขนาดญี่ปุ่น หรือเหล่าชาติยุโรป ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ แท้ๆ ก็ยังไม่อาจไปเจรจายกเว้นภาษีกับประธานาธิบดีทรัมป์ได้เลย ผลเลือกตั้งของออสเตรเลียจึงออกมาอย่างที่เห็น
ส่วนการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดที่สิงคโปร์ ปรากฏว่า พรรคกิจประชาชน หรือพีเอพี พรรครัฐบาล ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง คว้าชัยชนะไปอย่างถล่มทลายตามคาดอีกเช่นกัน เหนือพรรคแรงงาน หรือดับเบิลยูพี ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ภายใต้การนำโดยนายปรีตัม สิงห์
โดยพรรคพีเอพี ในฐานะพรรครัฐบาล ได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ คิดเป็นร้อยละ 65.57 พร้อมกับได้ที่นั่ง สส. จำนวน 87 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 4 ที่นั่ง
ขณะที่ พรรคแรงงาน ได้คะแนนเสียงร้อยละ 14.99 พร้อมกับได้ สส. 12 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 2 ที่นั่ง
ก็ต้องถือเป็นความสำเร็จของนายกรัฐมนตรีหว่อง ที่เปรียบเสมือนเป็นแม่ทัพนำพรรคพีเอพีชนะเลือกตั้ง แม้ว่าพรรคนี้มีฐานเสียงเดิมแน่นหนาอย่างยากที่ฝ่ายค้านจะตีแตก แต่ก็ถือเป็นผู้นำคนที่ 2 ที่ไม่ได้มาจากตระกูลลี ต่อจากนายโก๊ะ จ๊กตง ที่นำพาพรรคพีเอพีคว้าชัยมาครองได้สำเร็จ แถมยังได้ที่นั่ง สส.เพิ่มขึ้นมาอีกต่างหากด้วย