รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีครูสาวร้องถูกปลอมเอกสารลายมือชื่อเบิกเงินกู้กว่า 1.6 ล้านบาทนำทีมลุยสอบสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกาฬสินธุ์ จำกัด กระชากหน้ากากไอ้โมงเอี่ยวปลอมเอกสารเบิกเงินและหักหัวคิว 13 เปอร์เซ็นต์ ระบุเบื้องต้นพบข้อบกพร่องไม่ดำเนินการตามระเบียบปล่อยให้ขบวนการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ และมีการปล่อยเงินกู้ให้กับสมาชิกเกินวงเงิน ส่งผลให้สมาชิกไม่มีกำลังใช้หนี้ ความคืบหน้ากรณีนางเยาวลักษณ์ ภูชุม อายุ 34 ปี ครูวิทยฐานะชำนาญการโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยนางไสว บรรลือเสียง อายุ 60 ปี มารดา เข้าร้องทุกข์กับศูนย์ดำรงธรรม จ.กาฬสินธุ์ เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากได้ขอกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกาฬสินธุ์ จำกัด แต่ถูกนายหน้าที่เป็นข้าราชการครูหญิงหักหัวคิวค่าดำเนินการ 13 เปอร์เซ็นต์ และถูกปลอมเอกสารเบิกเงินไป 1,580,300 บาท กระทั่งนายไกรสร กองฉลาด ผวจ.กาฬสินธุ์ สั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2562 นายวีระศักดิ์ ศรีโสภา รองผวจ.กาฬสินธุ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เปิดเผยว่า หลังจากนายไกรสร กองฉลาด ผวจ.กาฬสินธุ์ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการในส่วนของ จ.กาฬสินธุ์ขึ้นมาตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ตนและ พ.อ.มานพ ไขขุนทด รอง.ผอ.รมน.กาฬสินธุ์ ซึ่งลงพื้นที่ในฐานะที่รับผิดชอบด้านความมั่นคง พร้อมนายไชยา เครือหงส์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรม จ.กาฬสินธุ์ นายรณชัย ภูครองทอง สหกรณ์จ.กาฬสินธุ์ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกาฬสินธุ์ จำกัดแล้ว โดยการตรวจสอบครั้งนี้คณะกรรมการได้เชิญเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าให้ปากคำทีละคน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เท็จจริง พร้อมทั้งนางเยาวลักษณ์ด้วย เพื่อหาความเชื่อมโยงว่า มีเจ้าหน้าที่คนใดบ้างที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะการเข้าไปเกี่ยวข้องกับข้าราชการครูหญิง ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นนายหน้าหักเงินค่าดำเนินการกู้เงิน 13 เปอร์เซ็นต์ และรองปลัดเทศบาลตำบลแห่งหนึ่งที่มีชื่อในใบมอบฉันทะ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่มาเบิกเงินจำนวน 1,580,300 บาท จากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกาฬสินธุ์ออกไป ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องอ้างว่าได้ดำเนินการไปตามบทบาทหน้าที่โดยการบริการลูกค้าและสมาชิก ซึ่งคณะกรรมการได้รับฟังไว้และคงยังไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากการที่นางสาวเยาวลักษณ์สามารถกู้เงินได้มากถึง 2,000,000 บาท ทั้งที่ตรวจสอบแล้วหลักเกณฑ์ต่างๆและเงินเดือนไม่สามารถกู้เงินได้มากถึงจำนวน 2,000,000 บาท แต่ข้าราชครูหญิงคนดังกล่าวกลับนำเอกสารเข้ามาขอกู้เงินกับสหกรณ์ได้ถึง 2,000,000 บาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ รวมทั้งความผิดปกติเอกสารต่างๆในการเบิกเงินกู้ออกไป โดยเฉพาะสมุดบัญชี ใบมอบฉันทะ และใบแสดงตัวตนของผู้มอบฉันทะจนนำไปสู่การเบิกเงินนั้นเจ้าหน้าที่จะต้องรู้เห็น ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ปฏิเสธ กระบวนการดังกล่าวจะต้องรอผลการพิสูจน์เทียบลายมือชื่อกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองกาฬสินธุ์ ว่าแท้จริงแล้วไปลายมือใคร และใครเกี่ยวข้องบ้าง ซึ่งหากตรวจสอบแล้วพบว่าใครเกี่ยวข้องจะดำเนินการทันที นายวีระศักดิ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามจากการลงพื้นที่ตรวจสอบเบื้องต้นยังพบความผิดปกติและข้อบกพร่องหลายอย่าง โดยเฉพาะการไม่ปฏิบัติการตามระเบียบในการพิจารณาปล่อยเงินกู้ของสหกรณ์ คือเจ้าหน้าที่มีการอนุมัติและปล่อยเงินกู้ให้กับสมาชิกเกินวงเงินที่สมาชิกสามารถกู้ได้ คือการปล่อยกู้ไม่ผ่านการตรวจสอบของคณะกรรมการที่มีอำนาจหน้าที่ต้องอนุมัติเงินกู้ตามระเบียบ ซึ่งการดำเนินการอนุมัติดังกล่าวหากสมาชิกผู้ขอกู้เงินสามารถกู้เงินเกินขีดความสามารถในการส่งหรือผ่อนชำระหนี้ ก็จะส่งผลให้การติดตามทวงหนี้ยากลำบากมากขึ้น กลายเป็นหนี้เสีย และอาจจะสร้างความเสียหายในกับสหกรณ์ในอนาคตได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะต้องขยายผลไปว่าใครเป็นคนทำ และอยู่เบื้องหลัง ซึ่งทางคณะกรรมการจะต้องให้ทางสำนักงานสหกรณ์จังหวัดเข้าตรวจสอบว่ามีการปล่อยเงินกู้และอนุมัติในรูปแบบลักษณะดังกล่าวที่ไม่ปฏิบัติการตามระเบียบไปเป็นจำนวนเงินมากน้อยเพียงใดและมีจำนวนสมาชิกที่กู้ไปเท่าไหร่ก่อนที่จะนำข้อมูลดังกล่าวรายไปยังผู้บังคับบัญชาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นายวีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับในส่วนของข้าราชการ 2 คน ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทั้งข้าราชการครูหญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นนายหน้า และรองปลัดเทศบาลตำบลนั้น หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่ามีเกี่ยวข้องก็จะต้องส่งเรื่องไปยังต้นสังกัดเพื่อดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบวินัย และในส่วนคดีคดีอาญาก็จะต้องว่ากันไปตามพยานหลักฐาน สำหรับในส่วนของนางสาวเยาวลักษณ์นั้นเบื้องต้นได้ประสานกับทางคณะกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกาฬสินธุ์ นำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาในการชะลอการชำระหนี้ที่ถูกหักเงินเดือนผ่านบัญชีในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงออกไปก่อน