คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย               

ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้งเรื่อยไปจนถึงการก้าวเท้าเข้าสู่ทำเนียบขาวในสมัยที่สองของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” จะเห็นได้ว่าเขามักจะชูธงรณรงค์หาเสียงแบบซ้ำๆและย้ำๆในเรื่องที่ว่า เขาจะแก้ไขปัญหาด้านอิมมิเกรชันเพื่อปกป้องประเทศ และจะแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศเข้มแข็ง

ปรากฏว่าชาวอเมริกันหลงลมคล้อยตาม จนเขาได้รับชัยชนะ แถมยังได้เสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภา เท่ากับว่าในยุคที่สองของประเทศ สภาคองเกรสอยู่ในความครอบงำของเขาไปโดยปริยาย!!!

ส่วนเรื่องที่เขาประกาศชูธงเรื่อยๆมา จำแนกออกมาได้ดังนี้

ประเด็นแรก: ประธานาธิบดีทรัมป์เคยแถลงว่า เขาจะสั่งปิดพรมแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโก และตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าสู่ทำเนียบขาว เขาก็ดำเนินการทันทีตามคำมั่นสัญญา แถมออกคำสั่งให้มีการจับกุมส่งผู้ที่อยู่แบบผิดกฎหมายเดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม แต่ทีมงานของเขาดำเนินการแบบผิดต่อกระบวนการยุติธรรมจนถูกต่อต้านอย่างหนัก

ขณะนี้เวลาการทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ผ่านไป 100 วันแล้ว และจากการเปิดเผยของสำนักหยั่งเสียง 2 สำนักนั่นก็คือ “สำนักหยั่งเสียงเอพี”  และ “ศูนย์ Public Research Affairs” ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2025 ว่า ชาวอเมริกันมีความพึงพอใจด้านการแก้ปัญหาอิมมิเกรชันอยู่ที่ 46%

และจากการหยั่งเสียงของ “หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์”ร่วมกับ “สถาบันค้นคว้าวิจัยของ Siena College” ซึ่งเป็นสำนักโพลที่ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างสูง ทำการเปิดเผยออกมาเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2025 ด้วยเช่นกัน ได้ออกมาระบุว่า ชาวอเมริกันไม่พึงพอใจต่อผลงานด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์สูงถึง 75% (ที่มาของข้อมูล: หนังสือพิมพ์ USA Today เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2025 “More than 75% of Americans disapprove of Trump’s handling of the economy, new poll finds”)

ทั้งนี้จากผลของการหยั่งเสียงชาวอเมริกันกว่า 56% ออกมาให้ความคิดเห็นในทำนองที่ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ดำเนินการเกี่ยวกับการเปิดฉากทำสงครามเศรษฐกิจเร็วเกินไป แถมคนอเมริกันถึง 66% ต่างเล็งเห็นกันว่า การบริหารประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยที่สองนี้ช่างเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย

ส่วนสำนักหยั่งเสียงสามโพลของ สถานีโทรทัศน์ ABC ร่วมกับหนังสือพิมพ์ Washington Post และสำนักหยั่งเสียง Ipsos เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 28 เมษายน ว่าชาวอเมริกันไม่พึงพอใจประธานาธิบดีทรัมป์ 30% และที่ไม่พึงพอใจ 55% ที่ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์โกรธจัดและกล่าวโจมตีว่าเป็นข่าวปลอม

จากการให้สัมภาษณ์ของประธานาธิบดีทรัมป์กับนักข่าวของ “นิตยสารไทมส์’ โดย “สำนักข่าวเอพี” ได้นำออกมารายงานเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2025 ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมากล่าวว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาตนก่อน” แต่เมื่อนักข่าวพยายามซักไซ้ไล่เลียงถามแบบซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โทรไปหาเมื่อไหร่ กลับปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เลี่ยงไปเลี่ยงมาไม่ยอมตอบคำถาม” และเนื่องจากข่าวนี้ถือเป็นประเด็นใหญ่ ดังนั้นกระทรวงต่างประเทศของจีนจึงได้ออกมาโต้แย้ง โดยออกมากล่าวปฏิเสธว่า “ฝ่ายจีนยังมิได้กล่าวเจรจากับสหรัฐฯแต่อย่างใดเลย”

โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2025 ฝ่ายจีนยังได้ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยโทรศัพท์ถึงประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งล่าสุด ก็เมื่อครั้งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ฉลองชัยชนะการเลือกตั้งนั่นเอง”

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2025 “รัฐมนตรีกระทรวงฯคลัง สกอตต์ เบสเซนต์”ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ“สถานีโทรทัศน์ช่องเอบีซี”ว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้คุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงหรือไม่?” ทำให้มีการสงสัยกันเป็นอย่างหนักว่าสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์พูดออกมาถึงนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องขี้จุ๊!!!

หากจะลองหันกลับไปดูดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 100 วันในการบริหารสหรัฐของประธานาธิบดีทรัมป์ ปรากฏออกมาให้เห็นว่า ดัชนีของ S&P 500 มีการร่วงตกอย่างหนัก

อย่างไรก็ตามการที่ประธานาธิบดีทรัมป์มักจะออกมาประกาศขู่ว่า จะปลดประธานเฟดออกจากตำแหน่ง เพราะประธานเฟดไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตนร้องขอ แต่ล่าสุดนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อนักข่าวว่า “จะไม่ปลดประธานเฟดออกจากตำแหน่งแล้ว”

ส่วน “เจมี ไดมอนด์” ผู้บริหารระดับซีอีโอของ “ธนาคารJP Morgan Chase” ธนาคารยักษ์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านๆมาเขามักจะออกมาให้ความคิดเห็นแบบเป็นประจำแทบทุกๆวันเกี่ยวกับสถานะทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเขามักจะกล่าวว่า “ณ ปัจจุบันนี้โอกาสที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯจะเกิดการชะลอตัวมีอยู่สูงมาก อีกทั้งจำนวนลูกค้าของธนาคารที่ไม่สามารถจะจ่ายเงินผ่อนบ้านและไม่สามารถที่จะจ่ายค่าบัตรเครดิตก็มีจำนวนเพิ่มสูงมากขึ้น จนเป็นที่น่าวิตกกังวลว่า สหรัฐฯกำลังจะเดินเข้าสู่เส้นทางสภาวะเงินเฟ้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

โดยประธานเจมี ไดมอนด์ ได้ออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ เร่งแก้ไขปัญหาสงครามเศรษฐกิจให้เสร็จสิ้นโดยด่วน นอกจากนั้นทีมเศรษฐกิจของธนาคารเจ พี มอร์แกน เชส”ยังได้ออกมาเปิดเผยว่า โอกาสที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯจะอยู่ในช่วงชะลอตัวมีถึง 60% เลยทีเดียว

ส่วนกรณีของ “อภิมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์” ขุนพลคู่ใจของประธานาธิบดีทรัมป์ ขณะนี้ได้ถอยห่างจากบทบาทการรับหน้าที่ในรัฐบาลกลางของสหรัฐฯออกไปแล้ว สืบเนื่องมาจากคะแนนนิยมของเขาตกร่วงลงเหลือแค่เพียง 39% เท่านั้น และยังมีรายงานออกมาว่า คนอเมริกันที่ไม่ชอบเขามีมากถึง 56% แถมเขายังถูกโจมตีอย่างหนัก จนหุ้นในบริษัทผลิต “รถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า”ของเขาร่วงหล่นลงถึง 75% โดยบรรดานักลงทุนในบริษัทของเขาได้ออกมาเรียกร้องให้เขายุติบทบาทในแวดวงการเมือง

สำหรับความคืบหน้าของสงครามยูเครนนั้น ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเข้าสู่ทำเนียบขาวในสมัยที่สอง เขามักจะเอ่ยปากให้สัญญาว่า “หากข้าพเจ้าได้รับเลือกเข้าสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งคราหนึ่ง ข้าพเจ้าสัญญาว่า จะเจรจายุติสงครามยูเครนให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง” แต่ปรากฏว่าขณะนี้แม้เวลาจะผ่านไปแล้ว 100 วันก็ตาม แต่สงครามยูเครนก็ยังไม่มีแนวโน้มว่า จะยุติลงเมื่อใด? มีผลทำให้เครดิตของประธานาธิบดีทรัมป์ค่อยๆลดน้อยถอยลง หรือไม่แน่ว่าบางทีประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะหาทางออกด้วยการให้สหรัฐฯล้างมือออกจากสงครามยูเครนก็เป็นไปได้

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นพอจะสรุปได้ว่าในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาการที่ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ได้ออกมาประกาศว่า จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของจีนที่ 145% อาจจะมีการปรับเปลี่ยนให้ลดน้อยถอยลง เพราะการประกาศสงครามเศรษฐกิจของเขามีผลทำให้มูลค่าดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ลดน้อยลงไปหลายๆล้านล้านดอลลาร์ ส่วนแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐฯก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น แถมบรรดาสำนักโพลยังรายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า คะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ร่วงลงทุกๆวัน แต่ดูเหมือนว่าในทางกลับกันผู้นำในพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่างออกมาผนึกพลังร่วมสนับสนุน “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” กันอย่างเต็มที่ ในอดีตที่ผ่านมาการยึดในเรื่องศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของคนจีนถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ดังนั้นผมมีความคิดเห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์คงจะเป็นฝ่ายกระพริบตายอมสงบศึกก่อนละครับ