เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมสภากลาโหมสัญจร ณ กองบัญชาการกองทัพไทย โดยระบุว่า ที่ประชุมได้รับฟังสรุปสถานการณ์ด้านความมั่นคง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย
นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไทยจำเป็นต้องปรับบทบาทให้สมดุลต่อมหาอำนาจโลกทั้งสองฝ่าย ท่ามกลางสงครามการค้าที่ยังดำเนินต่อเนื่อง พร้อมระบุว่า สภากลาโหมยังได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินงาน 11 ด้านของแต่ละเหล่าทัพ ตามนโยบายที่เคยสั่งการไว้ก่อนหน้า
ในส่วนของท่าทีจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน นายภูมิธรรมยอมรับว่า ส่งผลกระทบต่อไทยแน่นอน จึงได้มีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ รวมถึงกำหนดแนวทางการพูดคุยและทำความเข้าใจเงื่อนไขของสหรัฐ
สำหรับแนวทางการตั้งรับเชิงรุกของกองทัพไทย นายภูมิธรรมระบุว่า ต้องเริ่มจากการเตรียมความพร้อมภายในประเทศให้มั่นคง และผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของประชาชน พร้อมกล่าวถึงแนวโน้มการเจรจาด้านอาวุธยุทโธปกรณ์กับสหรัฐฯ ว่า หากมีข้อเสนอที่ตอบสนองความต้องการของไทยก็พร้อมพิจารณา แต่จะไม่ซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น โดยต้องยึดหลักประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการแจ้งความดำเนินคดีกับ ดร.พอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน โดยกองทัพภาคที่ 3 ว่าจะเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์หรือการเจรจากับสหรัฐหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณจากสหรัฐฯ ว่าประเด็นดังกล่าวจะเป็นเงื่อนไขใดๆ พร้อมย้ำว่า การดำเนินคดีเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมไทย ไม่มีการนำเรื่องนี้ไปแลกเปลี่ยนหรือใช้เป็นเครื่องต่อรองกับใครทั้งสิ้น
นายภูมิธรรมกล่าวปิดท้ายว่า ขอให้ทุกฝ่ายระมัดระวังในการสื่อสารเรื่องนี้ เพราะหากข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือเกิดความเข้าใจผิด อาจสร้างความเสียหายต่อประเทศได้ พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติและจะเดินหน้าอย่างระมัดระวังในทุกมิติ