วันที่ 30 เม.ย.68 ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการ กทม.ดินแดง นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่2 ครั้งที่ 4 ประจำปี2568 โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. นายจักกพันธุ์ ผิวงาม นายวิศณุ ทรัพย์สมพล นางสาวทวิดา กมลเวชช นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯกทม. คณะผู้บริหาร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) หัวหน้าส่วนราชการและผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
นายนภาพล จีระกุล ส.ก.เขตบางกอกน้อย พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้ถามสด เรื่อง การดำเนินการชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ในส่วนที่ค้างชำระ เนื่องจากการประชุมเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา คณะกรรมการวิสามัญ เพื่อศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว รายงานผลการศึกษา คณะกรรมการวิสามัญ เพื่อศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว(บางส่วน) ในประเด็นภาระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ในส่วนที่ค้างชำระ
ซึ่งค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ส่วนที่ยังไม่ได้ชำระ ให้แก่บริษัท ระบบขนส่งมวลขนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บีทีเอสซี) ดังนี้ ช่วงฟ้องครั้งที่2 เดือนมิ.ย.64-ต.ค.65 กทม. จะต้องชำระค่าจ้างเดินรถ เป็นเงิน 12,245 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนต่อขยาย1 เงินต้น 2,279 ล้านบาท ดอกเบี้ย 501 ล้านบาท รวม 2,780 ล้านบาท ส่วนต่อขยาย2 เงินต้น 7,848 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1,617 ล้านบาท รวม 9,465 ล้านบาท
และช่วงหลังฟ้องครั้งที่ 2 เดือนพ.ย.65ถึงเดือนธ.ค.67 กทม. จะต้องชำระค่าจ้างเดินรถ เป็นเงิน 17,121 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนต่อขยาย1 เงินต้น 3,242 ล้านบาท ดอกเบี้ย 275 ล้านบาท รวม 3,516 ล้านบาท ส่วนต่อขยาย2 เงินต้น 12,615 ล้านบาท ดอกเบี้ย 990 ล้านบาท รวม 13,605 ล้านบาท
และจากประมาณการค่าจ้างเดินรถ ปี 2568 (เดือนม.ค.68ถึงเดือนธ.ค.68)จะต้องชำระค่าจ้างเดินรถ 8,761 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,612 ล้านบาท ส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 6,149 ล้านบาท โดยทั้งสองส่วนมีภาระดอกเบี้ยสูงถึงวันละประมาณ 5,400,000 บาท ซึ่งจะกระทบต่อสถานะทางการเงินของกรุงเทพมหานครเป็นอย่างมาก
ดังนั้นคณะกรรมการฯ มีข้อเสนอต่อฝ่ายบริหาร ควรเจรจากับบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี เพื่อหาข้อยุติ โดยขอต่อรองการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย และพิจารณาเร่งรัดชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ในส่วนที่ค้างชำระเมื่อได้ข้อยุติ รวมถึงค่าจ้างฯ ในอนาคต ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
นายชัชชาติ กล่าวว่า การจ่ายหนี้รถไฟฟ้า เป็นเรื่องที่หนักใจ เพราะใช้เงินจำนวนมาก และมีหลายเรื่องหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ยังรวมไปถึงอัยการด้วย ที่ผ่านมาฝ่ายบริหารได้จ่ายหนี้ไปแล้ว กว่า 37,700 ล้านบาท หารือเรื่องนี้มาโดยตลอด การนำเงินประชาชนไปจ่ายต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบถี่ถ้วนทุกประเด็น
นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ฝ่ายบริหารไม่ได้นิ่งนอนใจ การชำระหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว มี 5 รายการ ดังนี้ 1.ค่างานระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) (E&M) ส่วนต่อขยาย2 จำนวน 23,312 ล้านบาท ชำระให้เคที แล้วเมื่อวันที่ 2 เม.ย.67 โดยใช้งบเพิ่มเติม2567 พร้อมโอนกรรมสิทธิ์งานระบบเป็นของ กทม. แล้ว
2.ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีที่ 1 ประกอบด้วย ส่วนต่อขยาย 1 ตั้งแต่พ.ค.62 - พ.ค.64 ส่วนต่อขยาย 2 ตั้งแต่ เม.ย.60 - พ.ค. 64 จำนวน 14,476 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินต้น 10,986 ล้านบาท ดอกเบี้ยตามสัญญา 769 ล้านบาท และ ดอกเบี้ยตามคำพิพากษา 2,712 ล้านบาท ซึ่งศาลปกครองสูงสุดอ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 26 ก.ค.67 โดยกทม. ชำระให้สำนักบังคับคดี แล้ว เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.67
3.ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ตามที่ BTSC ฟ้องคดีที่ 2 ประกอบด้วย ส่วนต่อขยาย 1และ 2 ตั้งแต่มิ.ย. 64 - ต.ค. 65 จำนวน 12,245 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินต้น 10,127 ล้านบาท ดอกเบี้ยตามสัญญา 2,118 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง ทำให้กทม.ค้างชำระ
4.ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) หลังฟ้องคดีที่ 2 ประกอบด้วย ส่วนต่อขยาย 1และ 2 พ.ย.65 - ธ.ค.67 จำนวน 17,121 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินต้น 15,857 ล้านบาท ดอกเบี้ยตามสัญญา 1,264 ล้านบาท และ 5.ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง ประมาณการปี 2568 ส่วนต่อขยาย 1และ 2 ม.ค.68 - ธ.ค. 68 จำนวน 8,761 ล้านบาท ซึ่งบีทีเอสซี ยังไม่ฟ้อง ทำให้กทม.ค้างชำระ
ทั้งนี้การเจรจากับบีทีเอสซี ดำเนินการ 2 ส่วน ส่วนแรก ของกทม. ได้ออกคำสั่ง กทม. ที่ 4587 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการชำระค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จากนั้นให้บริษัทกรุงเทพธนาคมจำกัด (มหาชน) (เคที) เจรจากับบีทีเอสซี เพื่อเจรจาต่อรองลดค่าเงินต้นและดอกเบี้ย ขณะเดียวกันได้มอบสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) สอบถามสำนักงานกฎหมายและคดีในส่วนคดีฟ้อง 2 / หลังฟ้อง 2 และพิจารณานำรายได้ค่าโดยสารที่มีอยู่มาจ่ายค่าจ้างเดินรถส่วนต่อ 1 และส่วนต่อ 2
และส่วนที่ 2. เคที เจรจากับบีทีเอสซี 3 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 20 ม.ค.68 ,24 ม.ค.68 และ 10 มี.ค.68 และมีหนังสือแจ้งต่อบีทีเอสซี เพื่อขอให้พิจารณาการปรับลดเงินต้นและดอกเบี้ย 2 ฉบับ
โดยประเด็นที่เจรจาแล้ว มีการขอปรับลดเงินต้น จากปัญหารางเดี่ยว บริเวณสถานีสะพานตากสิน (S6) และการ ขอปรับลดดอกเบี้ย จากอัตราดอกเบี้ยตามสัญญา MLR+1 เป็น MLR หรือ MLR-1 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของบีทีเอสซี นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่จะต้องไปเจรจาเพิ่มเติม ทั้ง การปรับลดขบวนตู้รถไฟฟ้า จำนวนบุคลากรที่สถานีและพนักงานขับรถ และค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
นายวิศณุ กล่าวต่อว่า กทม.เร่งรัดชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถส่วนที่ค้างรวมถึงในอนาคตตามกฎหมายและระเบียบ โดยการทำหนังสือสอบถามหน่วยงานภายนอก ทั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงานป.ป.ช.) ใน 4 ประเด็น ได้แก่ ชำระค่าจ้างส่วน 1 ตามที่ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด 2. ชำระค่าจ้างส่วน 2 ที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภากรุงเทพมหานคร 3.ชำระส่วนที่อยู่ระหว่างพิจารณาของศาล 4. ข้อมูลการฟ้องส่วนต่อ 2 แต่ยังไม่รับทราบผลการพิจารณา จึงทำหนังสือสอบถามความคืบหน้าอีกครั้ง
และสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) สอบถาม 2 ประเด็น 1. ชำระค่าจ้างในช่วงคดี 2 ก่อนศาลมีคำพิพากษา 2. ชำระค่าจ้างส่วนหลังฟ้องคดี 2 โดย อส. มีหนังสือตอบกลับไม่อาจให้ความเห็นได้ เนื่องจากคดี 2 อยู่ระหว่างพิจารณา และการชำระช่วงหลังฟ้อง 2 เป็นเรื่องการบริหารสัญญาของ กทม. ที่ต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่