วันที่ 30 เม.ย.68 ที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี นางสาวณัฐธิชา ลือประดิษฐ์ ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยนางสาวศรารัญย์ เฉลิมภักดีกุล อายุ 26 ปี และนางสาวกมลพร สงค์สกุล อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นทีมข่าวเดียวกัน ได้เดินทางเข้าร้องเรียนต่อ ดร.ปรเมศร์ ชัยพัชรกุลพงษ์ หรือ “ดร.แก้ว” ประธานที่ปรึกษาอัยการจังหวัดนนทบุรี และประธานคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) สภ.รัตนาธิเบศร์ เพื่อขอความเป็นธรรมและติดตามความคืบหน้าคดีอุกอาจ หลังทั้งสามคนถูกวัยรุ่นชายขับรถจักรยานยนต์เข้าประกบ พร้อมพูดข่มขู่และโชว์อาวุธปืนใส่ ขณะกำลังขับรถผ่านบริเวณแยกสนามบินน้ำ ต.ท่าทราย อ.เมืองนนทบุรี

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดอย่างละเอียด จนสามารถระบุตัวผู้ก่อเหตุได้ว่าเป็นเยาวชนชาย อายุ 14 ปี ชื่อ “ด.ช.อธิษฐ์” โดยได้เชิญตัวมาที่สถานีตำรวจ แต่พบว่าบิดาและมารดาอ้างว่าบุตรชายรู้สึกผิด จึงได้บวชเณรอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี พร้อมนำอาวุธปืนอัดลมสีดำ ซึ่งอ้างว่าเป็นของลูกชาย มามอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ

น.ส.ณัฐธิชา เปิดเผยว่า เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 6 เม.ย.68 เวลาประมาณ 22.40 น. ตนและเพื่อนอีกสองคนซึ่งเป็นทีมข่าวด้วยกัน เพิ่งเสร็จจากการทำเล็บที่ตลาดนกฮูก และกำลังเดินทางกลับบ้าน โดย น.ส.ศรารัญย์ เป็นผู้ขับขี่ น.ส.กมลพร นั่งซ้อนกลาง และตนเป็นคนซ้อนท้ายสุด ขณะรถกำลังมุ่งหน้าจากแยกสนามบินน้ำไปทางปากเกร็ด ได้มีรถจักรยานยนต์ฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ สีเทา-แดง ขี่เข้ามาเทียบข้างอย่างกระชั้นชิด

ผู้ก่อเหตุขี่เข้ามาแล้วพูดว่า ‘รถแรงหรอ วัยรุ่น รถลูกอะไร’ ตอนนั้นตนทั้ง 3 คน ยังคิดว่าเขาอาจจะรู้จักหรือพูดเล่น ทางด้านน.ส.ศรารัญย์เลยยิ้มตอบกลับไปแล้วบอกว่า ‘รถลูกเดิม ไม่ได้แต่ง’ แต่แล้วผู้ชายคนนั้นกลับพูดต่อทันทีว่า ‘ส่วนกูลูก .38’ แล้วก็หยิบปืนขึ้นมาวางบนตัก หันกระบอกมาทางหน้าน.ส.ศรารัญย์ ซึ่งพวกตนตกใจมาก ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อ พวกตนเลยชะลอรถ พยายามมองหน้าผู้ก่อเหตุว่าเป็นคนรู้จักหรือไหม ปรากฏว่าไม่มีใครรู้จักเลย แล้วเขาก็บิดรถหนีไป

น.ส.ณัฐธิชา กล่าวอีกว่า หลังเกิดเหตุ ได้เข้าแจ้งความและติดตามความคืบหน้าคดีอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเองและทีมงาน โดยเฉพาะในฐานะที่ยังต้องทำข่าวอยู่ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และทำงานด้านสื่อสารมวลชนมานาน ไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยเช่นนี้มาก่อน

ส่วนเรื่องที่ครอบครัวเขาบอกว่าลูกชายไปบวชเพื่อชดใช้ความผิด ตนไม่คิดว่านั่นคือการรับผิดชอบ เขาทำผิดต้องกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ใช่ให้พ่อแม่มาปกป้องแทน แถมยังโยนความผิดให้คนอื่นอีกด้วย อยากฝากถึงผู้ก่อเหตุว่า อายุแค่นี้ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเติบโต ควรคิดก่อนทำ เพราะถ้าวันนั้นเจอคนที่มีอาวุธเหมือนกัน เขาอาจจะไม่รอด แล้วอย่าไปทำแบบนี้กับใครอีก ส่วนตัวตนจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และอยากให้พ่อแม่ต้องร่วมรับผิดชอบ เพราะพฤติกรรมแบบนี้มันไม่ใช่แค่เด็กผิด แต่สะท้อนถึงการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้องด้วย ไม่ใช่มาอ้างว่าขู่ผิดตัว

ด้านน.ส.ศรารัญย์ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในวันเกิดเหตุ กล่าวว่า ตนรู้สึกกังวลอย่างมากต่อความปลอดภัยในการทำงาน เนื่องจากต้องออกพื้นที่ตลอดเวลา และสิ่งที่ไม่พอใจที่สุดคือพฤติกรรมของพ่อแม่ผู้ก่อเหตุ ที่ไม่แสดงความเสียใจหรือสำนึกใด ๆ หลังจากที่ตำรวจได้เชิญตัวมานั่งพูดคุยกับตน ซึ่งตอนที่พูดคุยกัน เขาไม่ได้พูดคำขอโทษแม้แต่คำเดียว เวลาคุยกันประมาณ 10 นาที แต่กลับมีท่าทีไม่พอใจ เหมือนลูกเขาไม่ผิดอะไรเลย และที่แย่ที่สุดคือ ปืนที่เอามามอบให้ตำรวจ เป็นแค่ปืนอัดลมของเล่นสีดำ แต่ปืนที่ใช้ในวันเกิดเหตุด้ามจับเป็นสีน้ำตาล ซึ่งตนยืนยันว่าเป็นคนละกระบอกกัน ซึ่งมันไม่ใช่ของเล่น และไม่ใช่แค่การหยอกล้อตนยืนยันว่า จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เพื่อให้ผู้ก่อเหตุและครอบครัวได้สำนึกว่า พฤติกรรมเช่นนี้ไม่อาจหลบเลี่ยงความรับผิดชอบได้

ขณะที่ น.ส.กมลพร ซึ่งนั่งซ้อนกลางในวันเกิดเหตุ กล่าวเสริมว่า ขณะเกิดเหตุรู้สึกตกใจและสับสนมาก เพราะไม่เคยเผชิญเหตุการณ์ที่อันตรายขนาดนี้มาก่อน ตอนนั้นมือไม้เย็นไปหมด ไม่รู้ว่าคนขี่ข้างๆ จะยิงจริงไหม แล้วพอรู้ว่าเด็กแค่ 14 ปี ทางผู้ปกครองควรพาเขามารับผิดชอบด้วยตัวเอง ไม่ใช่หลบหนีปัญหา

ด้าน ดร.ปรเมศร์ หรือ “ดร.แก้ว” กล่าวว่า คดีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนของปัญหาสังคม โดยเฉพาะพฤติกรรมรุนแรงของเยาวชนที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์บนท้องถนน หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดและสามารถระบุตัวผู้ก่อเหตุได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรีได้สั่งการให้ดำเนินคดีอย่างเต็มที่ แม้ผู้ก่อเหตุจะเป็นเยาวชนก็ไม่สามารถละเมิดกฎหมายได้ จะมีการออกหมายเรียกเพื่อมารับทราบข้อกล่าวหา โดยตำรวจจะดำเนินคดีในทุกขั้นตอนตามกฎหมายเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับน้องนักข่าวและประชาชน

ดร.แก้ว กล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญต่อพฤติกรรมของบุตร หากปล่อยปละละเลยหรือเข้าข้างจนเกินไป อาจส่งผลเสียต่อเด็กและสังคมโดยรวม พร้อมย้ำว่า “เด็กจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู เคสนี้เห็นได้ชัดว่าพ่อแม่ส่งเสริมในทางที่ไม่ถูกต้อง และต้องร่วมรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น”