กกต.สรุปผลการเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 8 นครศรีธรรมราช “ก้องเกียรติ” พรรคกล้าธรรม คะแนนทิ้งคู่แข่ง “ภูมิใจไทย” ขาดลอย ระบุมีผู้มาใช้สิทธิ 69.45 บัตรเสีย 1,088 ใบ ยังไม่พบทุจริต รอลุ้นประกาศรับรองใน 60 วัน ด้าน “บิ๊กเกรียง” ยันไม่กังวล“ดีเอสไอ”จำลองเหตุการณ์“ฮั้วเลือกสว.”บอกใครมีหน้าที่ก็ทำไป ส่วน“พิชัย”ปัดตอบมีชื่อถูกปรับพ้น ครม.ขอทำงานก่อน 

เมื่อวันที่ 28 เม.ย.68 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) สรุปผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครราชสีมา เขต 8 อำเภอนาบอน อำเภอช้างกลาง อำเภอฉวางและอำเภอพิปูน ซึ่งมีการเลือกตั้งไปเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2568  พบว่าจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 117,717 คน จำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 81,750 คน คิดเป็นน้อยละ 69.45  จำนวนบัตรดี 78,530 คิดเป็นร้อยละ 96.06  จำนวนบัตรเสีย 1,088 ใบ  คิดเป็นร้อยละ 1.33 และบัตรไม่เลือกผู้สมัครใด 2,132 ใบ คิดเป็นร้อยละ 2.61

ส่วนผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุดได้แก่ นายก้องเกียรติ เกตุสมบัติ ผู้สมัครหมายเลข 5 พรรคกล้าธรรม ได้รับคะแนนเสียง 38,680 คะแนน ส่วนผู้สมัครที่ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 2 คือ นายไสว เลื่องสีนิล พรรคภูมิใจไทยได้รับคะแนน 28,417 คะแนน อันดับ 3 นายณัฐกิตติ์ อยู่ด้วง พรรคประชาชน ได้รับคะแนนเสียง 6,811 คะแนน  อันดับ 4 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับคะแนนเสียง 4,190 คถะแนน อันดับ 5 ว่าที่พันตรี กวี ไกรทอง พรรคพร้อม ได้รับคะแนนเสียง 238 คะแนน และอันดับ 6 นายพิษณุ รสมาลี พรรคทางเลือกใหม่ ได้รับคะแนนเสียง 194 คะแนน

ทั้งนี้ สำนักงาน กกต.จะดำเนินการตรวจสอบและรวบรวมรายงานผลการนับคะแนน พร้อมทั้งคำพิจารณาคำร้องหรือเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง หากไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม และไม่มีคำร้องคัดค้านภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด คณะกรรมการการเลือกตั้งก็จะพิจารณารับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการภายใน 60 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง

ที่รัฐสภา พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ให้สัมภาษณ์ ภายหลังเป็นประธานเปิดงานโครงการอบรมเสริมสร้างประสิทธิภาพในการเผยแพร่ผลงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วุฒิสภา ถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลงพื้นที่จำลองเหตุการณ์เลือกวุฒิสภา (สว.) ที่อิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี ว่า ไม่มีอะไร ก็ว่ากันไป

เมื่อถามย้ำว่าเรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นเกมการเมือง เพราะมาทำในช่วงนี้ พล.อ.เกรียงไกร สวนทันทีว่า ไม่ทราบ เมื่อถามว่ากังวลใจหรือไม่ พล.อ.เกรียงไกร ย้อนว่า ไหนว่าจะมาถามเรื่องงานที่มาเปิดกิจกรรม ก่อนกล่าวว่า ไม่รู้จะกังวลใจเรื่องอะไร ก็ทำหน้าที่กันไป 

เมื่อถามว่าหลังจากนี้ ดีเอสไออาจจะมีการเรียกหลักฐาน สว.พร้อมหรือไม่ พล.อ.เกรียงไกร กล่าวว่า “ผมไม่ตอบเรื่องนี้” เมื่อกี้บอกว่าจะสัมภาษณ์อีกเรื่องหนึ่ง อย่างนี้หลอกกันนี่หว่า ก่อนจะหัวเราะ ผู้สื่อข่าวจึงชี้แจงว่าเป็นการถามเพิ่มเติม อยู่ที่ว่าจะตอบหรือไม่ พล.อ.เกรียงไกร กล่าวว่า ไม่เป็นไร เป็นหน้าที่ของใครของมัน ปกติธรรมดา ก็ว่ากันไป เราอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายก็แค่นั้น

เมื่อถามว่าการตรวจสอบการฮั้วเลือก สว.ครั้งนี้ มีการใช้ AI เข้ามาด้วย พล.อ.เกรียงไกร กล่าวว่า “ไม่ทราบ AI คืออะไร ผมไม่ทราบ”

พล.อ.เกรียงไกร กล่าวด้วยว่า หน้าที่ใครหน้าที่มัน ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ ไม่เป็นไร เป็นไปตามหน้าที่ของเขา หน้าที่ของเรา มีหน้าที่ก็ทำไป ไม่เป็นไร

วันเดียวกัน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับครม. ซึ่งมีชื่อของนายพิชัยถูกปรับออกว่า “อ่อ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลยครับ อยากทำงานทุกอย่างให้ดีที่สุด”


ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า สิ่งที่ได้พูดคุยกับภาคเอกชนสหรัฐ ถ้ามีการปรับครม. สิ่งเรานั้นจะไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่หรือต้องรอให้รัฐมนตรีคนใหม่มาดำเนินการ นายพิชัย ไม่ตอบแต่เดินเข้าห้องประชุมทันที

ส่วน นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี ว่า ไม่มีสัญญาณการปรับครม.จากนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้งหมดเป็นอำนาจการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี และเป็นกลไกของปกติในการบริหหารราชการแผ่นดิน เมื่อนายกฯ เห็นว่าสภาวะไหนเหมาะสมที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนคนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง เพื่อขับเคลื่อนงานก็จะสามารถกระทำได้ ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งการปรับเปลี่ยนไม่ว่าจะระหว่างเทอม หรือครบเทอม 4 ปี ก็ต้องคืนอำนาจให้กับประชาชน

ส่วนหากปรับครม.บ่อยจะทำให้การทำงานสะดุดหรือไม่นั้น นางสาวจิราพร ย้ำว่า เป็นกลไกปกติ หากบางช่วงที่นายกฯ ต้องการบุคคลที่มีประสบการณ์เหมาะสมกับการขับเคลื่อนงานในช่วงเวลานั้นๆก็สามารถกระทำได้ ซึ่งนายกฯ ก็จะดูในหลายมิติประกอบกัน ก่อนที่จะตัดสินใจที่จะปรับครม.

เมื่อถามย้ำว่าจะมีการปรับครม.เร็วๆนี้หรือไม่ นางสาวจิราพร ยืนยันว่าไม่ทราบ แต่ตนเองในฐานะรัฐมนตรี เมื่อนายกฯ มอบหมายงานอะไรมาก็ทำอย่างเต็มที่ ตามที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้ จึงขอใช้ทุกเวลาทุกนาทีทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีก็ให้เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี

ทางด้าน น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)  กล่าวถึงกรณีที่มีการยื่นตรวจสอบนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่มีชื่อเป็นกรรมการในบริษัทเอกชน ซึ่งอาจเข้าข่ายขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่า ถือเป็นสิทธิ์ของผู้ยื่นตรวจสอบ อยากให้พี่น้องประชาชนดูผลงานที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นคดีโครงการโฮปเวลล์ หรือ โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร และผลงานต่างๆ ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลก่อนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีชุดนี้ ซึ่งเรายังคงมั่นใจคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายพีระพันธุ์ ทั้งนี้กรณีที่เกิดขึ้นนายพีระพันธุ์ไม่ได้เสียกำลังใจในการทำงาน เพราะโฟกัสไปที่การทำงานมากกว่า 

เมื่อถามว่า การยื่นตรวจสอบในช่วงเวลาที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่งผลกระทบหรือไม่ น.ส.ศศิกานต์ กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะคิดไปได้

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังสนามบินกองทัพบกค่ายกฤษณ์สีวะรา ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร จากนั้นนายกฯเดินทางต่อด้วยรถยนตร์โตโยต้าอัลพาร์ด ทะเบียน กท 888 กรุงเทพมหานคร 

จากนั้นเวลา 10.30 น. นายกฯ ลงพื้นที่สวนสาธารณะดอนเกิน ตำบลท่าแร่ อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร เพื่อติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนแผนพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่บึงหนองหาร และการบริหารจัดการน้ำ โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย และมีสส.พรรคเพื่อไทย นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย สส.สกลนครเขต 1 น.ส.จิรัชยา สัพโส พรรคเพื่อไทย สส.สกลนครเขต 3 นายพัฒนา สัพโส สส.สกลนครเขต 4 น.ส.สกุณา สาระนันท์ สส.สกลนครเขต 6 นายเกษม อุประ สส.สกลนคร เขต 7 รวมถึง นางนฤมล สัพโส นายก อบจ.สกลนครให้การต้อนรับ

โดยนายกฯ นั่งรถรางชมทัศนียภาพสวนสาธารณะดอนเกิน จากนั้นรับฟังบรรยายสรุปการบริหารจัดการน้ำและแผนหลักการพัฒนาบึงหนองหารจังหวัดสกลนคร จากนายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ  (สทนช.) ซึ่งรายงานว่า ยังมีปัญหาเรื่องของคุณภาพน้ำ วัชพืช ที่ทำให้ตื้นเขิน อุทกภัยและภัยแล้งมีแนวโน้มอาจเกิดขึ้นได้จึงต้องมีการบริหารจัดการน้ำ 

นายกฯยังได้สอบถามสถานการณ์น้ำภาพรวม ซึ่งเลขาธิการ สทนช. รายงานว่าปีนี้แนวโน้มฝนมากเราต้องคิดพื้นที่เสี่ยงให้ประชาชน และมีการเชื่อมโยงลุ่มน้ำ มีการพร่องน้ำเขื่อนใหญ่ทั้งประเทศที่มีแนวโน้มล้นเขื่อน โดยจะบริหารจัดการเป็นลุ่มน้ำรวมไปถึงกรุงเทพฯด้วย ส่วนในเรื่องการขยายระบบระบายน้ำ การอนุญาติใช้ที่ดิน ซึ่งจะต้องมีการทำความเข้าใจกับประชาชนด้วย 

เลขาธิการ สทนช. ยังรายงานถึงการเสนอของบประมาณที่มีการขอตั้งแต่ปี 2563 ยาวมาจนถึงปี 2569  ซึ่งงบได้มาแต่ยังไม่ครบ นายกฯจึงระบุว่า ช้ามาก จากนั้นนายกฯได้ดูลำน้ำที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกเพื่อศึกษาความเหมาะสมสำรวจออกแบบและผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) ด้วย

นอกจากนี้ยังรับฟังความคืบหน้าโครงการก่อสร้างและปรับปรุงภูมิทัศน์พุทธอุทยานหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พร้อมสอบถามว่าใช้งบเท่าไหร่ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดระบุว่าใช้งบประมาณ 329 ล้านบาท 

ขณะที่ทีมงานภาคเอกชน ได้นำเสนอ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างสะพานทางเดิน วิ่ง และทางจักรยาน  โครงการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวแบบครบวงจรทะเลสาบหนองหาร และอุทยานหนองหารเฉลิมพระเกียรติ สู่ เวชศาสตร์การเกษตรและชีวะนวัตกรรมสร้างสรรค์ โดยนายกฯสอบถาม ได้มีการคำนวนตัวเลขของนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาอย่างไร ซึ่งตัวแทนภาคเอกชน กล่าวว่า เราพยายามปักหมุดให้สกลนครเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งตัวเลขพื้นฐานเราทำไว้หมดแล้ว นายกฯจึงระบุว่าเราต้องเพิ่มเรื่องการรับรู้เพราะมีนักท่องเที่ยวอยากมาไม่รู้จะไปที่ไหน หากเราทำตัวเลขชัดเจนเรื่องงบประมานจะไหลมามากขึ้น

จากนั้นนายกฯเดินพบปะกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้านและประชาชน พร้อมถ่ายภาพร่วมกัน โดยประชาชนบางส่วนระบุว่า เป็นกำลังใจให้ นายกฯสู้ๆ ก่อนเยี่ยมชมบูธผลิตภัณฑ์จังหวัดสกลนคร พร้อมอุดหนุนข้าวฮางงอก ข้าวสามสี และนมจากสหกรณ์โคนมวาริชภูมิ