“บิ๊กป้อม” นำทัพ“พปชร.”ประชุมใหญ่สามัญ ประกาศลั่น ไม่หวนร่วมรัฐบาล “เพื่อไทย” ระบุ เช็กเสียงแล้ว สส.ยังอยู่ครบ “ไพบูลย์” เหน็บ “ทักษิณ” แก้เกี้ยวไม่เอา พปชร. เพราะดึงไม่ได้ ด้าน “ณัฐพงษ์” มั่นใจ“พรรคประชาชน” ไร้งูเห่า ชี้ฝ่ายค้านยังเหนียวแน่น ไม่หวั่นกระแสย้ายขั้ว สวน “ทักษิณ” ยันอำนาจปรับ ครม.อยู่ที่ “นายกฯ” พร้อมจับตาศาลฎีกา 30 เม.ย.ชี้ชะตา “ทักษิณ” ปมโรงพยาบาลตำรวจ
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 27 เม.ย.68 ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อาคารรัชดาวัน กรุงเทพฯ พรรค พปชร.ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2568 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย คณะกรรมการบริหารพรรค สส. ตัวแทนภาค และตัวแทนสาขา และสมาชิกพรรค เข้าร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค,นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค,นางสาวตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค,นายอุตตม สาวนายน รองหัวหน้าพรรค,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รองหัวหน้าพรรค,นายชัยมงคล ไชยรบ รองหัวหน้าพรรค , พลเอกกฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ เหรัญญิกพรรค,นายสมโภชน์ แพงแก้ว นายทะเบียนสมาชิกพรรค กรรมการบริหารพรรค อาทิ นายอนันต์ ผลอำนวย กรรมการบริหารพรรค,นายทวี สุระบาล กรรมการบริหารพรรค,นายสุธรรม จริตงาม กรรมการบริหารพรรค นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ กรรมการบริหารพรรค,นายคอซีย์ มามุ กรรมการบริหารพรรค,พลตำรวจโทปิยะ ตะวิชัย กรรมการบริหารพรรค ,หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรค และนายวัน อยู่บำรุง กรรมการบริหารพรรค
ทั้งนี้ ประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2568 เป็นการดำเนินการของพรรคการเมืองตามกฎหมายพรรคการเมือง เพื่อรายงานผลการดำเนินงาน ตามมาตรา 43 และรับรองงบการเงิน ประจำปี 2567 ตามมาตรา 61 ของ พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ผู้แทนสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด และสมาชิกพรรค รวมทั้งสิ้นเกินกว่า 250 คนครบองค์ประชุมตามที่กฎหมายกำหนด
ต่อมาเมื่อเวลา 11.27 น. พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม (กธ.) ระบุจะมี สส.จากฝ่ายค้าน ไปร่วมกับพรรค กธ.เพิ่ม ได้มีการเช็คเสียงในพรรค พปชร. ว่าจะมีคนย้ายไปหรือไม่ ว่า ”ไม่มีหรอก จะมีที่ไหนเล่า“ เมื่อถามย้ำว่า ยืนยันว่าทุกคนยังอยู่กับ พล.อ.ประวิตร ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็เนี่ยเขามาประชุมทุกคน“
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) จะดึงพรรค พปชร. ไปร่วมรัฐบาล พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว ขณะที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค พปชร. ได้กล่าวเสริมขึ้นมาว่า ไม่มีหรอก เมื่อถามย้ำว่า ยังหวังกลับไปร่วมรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวเสียงดังว่า ”ไม่ร่วม“ จากนั้นได้ขึ้นรถยนต์กลับจากพรรค พปชร.ออกไป
นายไพบูลย์ ยังกล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดที่ จ.เชียงใหม่ว่าจะไม่ดึงพรรค พปชร.กลับมาร่วมรัฐบาลว่า “ดึงไม่ได้ก็เลยพูดแก้เกี้ยว”
ที่ดิ ไอเดิล โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ จ.ปทุมธานี นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน แถลงภายหลังการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568
โดยนายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค กล่าวว่า ในวาระการประชุม มีการปรับปรุงข้อบังคับพรรคให้การทำงานของพรรคสะดวกมากขึ้น รายงานผลการดำเนินงาน 1 ปี ที่ผ่านมา และเรื่องงบการเงินของพรรค รวมถึงการเตรียมความพร้อมถึงการเลือกตั้งในอนาคต ก่อนการประชุมครั้งนี้ได้มีการจัดสัมมนาระหว่างวันที่ 25 - 26 เมษายนที่ผ่านมา ในหัวข้อการสร้างพรรคมวลชนที่เข้มแข็ง ไปวางเป้าหมายให้มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น เพิ่มการมีส่วนร่วมของสมาชิก และการทำให้กลไกโครงสร้างอำนาจภายในพรรคยึดโยงกับสมาชิกพรรคมากขึ้น รวมถึงเรื่องการเงินของพรรคที่จะต้องการเงินของพรรคมาจากประชาชนเป็นส่วนใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง
สำหรับการเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือนโยบาย ที่จะต้องสร้างขึ้นให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ในปี 2570 และการเตรียมผู้สมัครซึ่งเรามีกระบวนการให้ผู้ประสงค์จะลงเลือกตั้งสามารถเข้ารับการคัดสรรได้ ซึ่งได้มีการเปิดการอบรมนักการเมืองของพรรคไปแล้วช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา และยังคงเปิดต่อไปจนถึง 13 มิถุนายน เพราะยังมีความต้องการผู้ประสงค์จะลงเลือกตั้ง และทำงานการเมืองร่วมกับเรา ไม่สามารถเข้ามาได้อีกมาก
ด้านนโยบายเองก็เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เรายังขาดนโยบายอีกมากที่จะตอบสนองต่อพี่น้องประชาชนทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ จึงยังต้องการพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ประสงค์จะมีส่วนร่วมจัดทำนโยบายร่วมกับเรา จึงขอเชิญชวนทุกท่านที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง
นายณัฐพงษ์เสริมว่า เรื่องที่เราสื่อสารมาตลอด 3 วันนี้ต่อองค์คาพยพต่างๆ ของพรรค เน้นย้ำว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าหากเรามองโจทย์ของประเทศ คงไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องการชนะการเลือกตั้งอย่างเดียว แต่เราต้องการสร้างรัฐบาลที่ดีที่สุด ตามที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่วันก่อตั้งพรรคประชาชน หากดูจากสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีการทุจริตคอรัปชั่น มีรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ทางออกสำหรับประเทศของพวกเราคือการเสนอรัฐบาลที่ดีที่สุด และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
ในอดีตพรรคอนาคตใหม่เคยเป็นความหวังให้กับประชาชน เราชนะการเลือกตั้ง แต่โจทย์ต่อไปหากมองย้อนกลับมาที่พรรคประชาชนเอง ภายในพรรคเองก็ต้องมีการทำงานกับประชาชนอย่างเข้มข้น รวมถึงเตรียมนำเสนอนโยบายในอนาคต ประกอบด้วย 3 เสา คือการเมือง ปฏิรูประบบราชการ และเศรษฐกิจ ส่วนตัวมองว่าประชาชนเห็นความชัดเจนของพรรคมาโดยตลอด
"สิ่งสุดท้ายที่เชื่อว่าจะเป็นความหวังให้กับประชาชนได้คือนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของพรรคเพื่อไทย แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถสร้างทางออกให้กับประชาชนได้ ดังนั้น ก็พร้อมที่จะเสนอตัวอาสามาทำงานในจุดนี้ และเตรียมสื่อสารนโยบายด้านเศรษฐกิจต่อประชาชนต่อไป" นายณัฐพงษ์ กล่าว
สำหรับข้อสังเกตว่า คะแนนจากการเลือกตั้งของอดีตพรรคก้าวไกลเมื่อการเลือกตั้งคราวที่แล้ว อาจเป็นคะแนนจากกลุ่มประชาชนที่ 'เบื่อลุง' นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ไม่ว่าจะเป็นคนที่เบื่อลุงหรือคนที่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย หรือคนที่อยากเห็นการเมืองโปร่งใสปราศจากการทุจริตคอรัปชัน เชื่อว่าตอนนี้เห็นอยู่แล้วว่ารัฐบาลที่มัดรวมจัดตั้งรัฐบาลด้วยดีลแลกประเทศแบบนี้ ไม่ใช่ทางออก ทางออกของประชาชนทุกกลุ่ม คือนโยบายเศรษฐกิจที่แก้ไขปัญหาปากท้อง ปราศจากการทุจริตคอรัปชัน เชื่อว่าประชาชนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนในอดีต ล้วนต้องการนโยบายแบบนี้ ซึ่งทุกอย่างพรรคประชาชนพร้อมผลักดันและเสนอเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดให้กับประชาชน
ส่วนการประเมินว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจมีคนที่ลงคะแนนงดออกเสียงมากขึ้น นายณัฐพงษ์ระบุว่า หากสื่อสารทางความคิดรณรงค์กับประชาชนได้ดีเพียงพอ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าในทุกนโยบายที่ได้บอกไป เชื่อว่าประชาชนก็ยังมีความหวังอยู่ สามารถเชื่อมั่นฝากความหวังไว้กับพวกเราได้จากการทำหน้าที่ สส. และตัวแทนของพรรค
ขณะที่บางกลุ่มคาดหมายว่าในการเลือกตั้งรอบหน้าพรรคสีแดงก็จะมาจับมือกับพรรคสีส้ม นายณัฐพงษ์ย้ำว่า ได้พูดไว้ชัดเจนแล้วว่า การจัดตั้งรัฐบาลแบบที่เป็นอยู่ พรรคประชาชนไม่สามารถเข้าร่วมได้ เพราะไม่ได้นำประชาชนมาเป็นศูนย์กลางในสมการการตัดสินใจ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลย ทั้งนโยบายเรื่องปฏิรูปกองทัพ ทลายทุนผูกขาด และอีกหลายเรื่อง ตราบใดที่ประชาชนถูกถอดออกจากสมการการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ ปัญหาเชิงโครงสร้างทุกเรื่องก็ไม่สามารถแก้ไขได้
เมื่อถามย้ำว่าในการเลือกตั้งรอบหน้าจะไม่รวมกับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ ตอบว่า สิ่งที่เราสื่อสารมาโดยตลอด ว่าถ้าพรรคเพื่อไทยจะสามารถรวมกับพวกเราได้ ก็อาจจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่าง
"ยกตัวอย่างว่า อาจจะต้องมีการสื่อสารว่าการกระทำที่ผ่านมา เขาทำผิดต่อประชาชนจริงๆ และมีการสื่อสารเรื่องนี้อย่างชัดเจน ไม่อยากให้มองว่าเงื่อนไขการจับกับไม่จับมือกับพรรคใด เป็นเงื่อนไขที่พรรคประชาชนตั้งขึ้นมาเองแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น จริงๆ พรรคอื่นๆ ฝั่งอื่นๆ ก็ตั้งเงื่อนไขกับเราเช่นเดียวกัน"
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ดังนั้น สิ่งที่พรรคประชาชนให้ความสำคัญในตอนนี้ ก็คือการทำงานทางความคิด หาทางออกให้กับประชาชนเป็นหลัก สุดท้ายจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้งในอนาคต ส่วนผลออกมาเป็นอย่างไรจะจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่อย่างไร ยืนยันว่าจุดยืนของพรรคประชาชนคือ เราเสนอกับพี่น้องประชาชนว่าอย่างไรก่อนเลือกตั้ง หลังเลือกตั้งเราก็จะยืนยันแบบเดิม ไม่กลับไปกลับมา ว่าหาเสียงไว้แบบหนึ่งทำแบบหนึ่งแน่นอน
เมื่อถามย้ำอีกว่า หมายถึงพรรคประชาชนไม่ได้ปิดประตูตายในการจับมือกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ใช่หรือไม่ หากต่างฝ่ายต่างมีเงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป้าหมายที่เราต้องการไม่ใช่แค่ชนะการเลือกตั้ง แต่คือหาทางออกให้กับประเทศ หากวันนี้ตนเองในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชนสื่อสารไปแล้วว่ามีเงื่อนไขใดที่ทำให้จัดตั้งรัฐบาลกับพรรคใดไม่ได้ ซึ่งสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงตลอด อย่างเรื่องของกำแพงภาษีสหรัฐก็เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ
"เมื่อถึงเวลาที่เงื่อนไขของโลกเปลี่ยน แต่เงื่อนไขที่ผมตั้งไว้ล่วงหน้า อาจจะยังถูกตั้งคำถามได้ในอนาคต อาจจะกลายเป็นว่าอาจเป็นการปิดประตูให้กับประเทศหรือเปล่า ดังนั้น สิ่งที่เราสื่อสารมาตลอดว่า เราต้องการหาทางออกให้กับประเทศ เงื่อนไขในการจับหรือไม่จับมือกับพรรคใด ควรจะต้องไปหารือในช่วงใกล้ๆ การเลือกตั้ง แล้วก็อาจจะไม่ยุติธรรมที่จะมาถามพรรคประชาชนฝ่ายเดียว จริงๆ คนที่ตั้งเงื่อนไขกับพวกเราก็อาจจะเป็นพรรคอื่นๆ ด้วย จึงอยากให้ตั้งคำถามกับพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน"
ส่วนจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ในสมัยหน้าหรือไม่นั้น ก็อยู่ที่ความไว้วางใจของประชาชน ซึ่งสะท้อนผ่านการทำงานของพวกเราด้วย วันนี้ในการประชุมใหญ่เราได้มีการพูดคุยกันหลายเรื่อง ทั้งการปรับข้อบังคับพรรค การควบคุมวินัย ทำอย่างไรให้ประชาชนเห็นว่าสามารถฝากผีฝากไข้ ฝากความมั่นใจกับตัวแทนของพรรคประชาชนได้ เรามีข้อเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจที่สามารถแก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องประชาชน เชื่อว่าถ้าเราทำงานอย่างดีเพียงพอแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาในพรรค จะสะท้อนถึงคะแนนที่จะได้รับในอนาคต และหากคะแนนถึงในการเลือกตั้งเราก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
ขณะที่ความมั่นใจในคดี 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล นั้น นายณัฐพงษ์ระบุว่า ทีมกฎหมายทำงานกันอย่างเต็มที่ สส.แต่ละคนที่ถูกดำเนินคดีก็มีทีมกฎหมายเฉพาะแต่ละบุคคล และคดีก็ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงสมาธิในการทำงาน ยังคงตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ โดยไม่ได้ประมาท
นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวถึงกรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ออกมาเปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีสมาชิกพรรคกล้าธรรมเพิ่มขึ้นซึ่งเป็น สส.จากพรรคฝ่ายค้าน ว่าทางด้านพรรคประชาชนไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเพราะตนเชื่อมั่นว่างูเห่าไม่ได้มาจากพรรคประชาชนแน่นอน ส่วนจะเป็นใครบ้างตนตอบแทนไม่ได้ ต้องไปถาม ร.อ.ธรรมนัส เองว่าเป็นใคร
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ตนเชื่อมั่นในเพื่อนร่วมพรรคทุกคน ซึ่งจะเห็นได้จากหลายครั้งที่ผ่านมาตั้งแต่พรรคก้าวไกลมาเป็นพรรคประชาชน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีงูเห่าที่มาจากพรรคประชาชน
เมื่อถามอีกว่ามีการเปิดเผยถึงเรื่องงูเห่ามาหลายครั้ง มองว่าจะทำลายเสถียรภาพของฝ่ายค้านหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าสิ่งที่ประชาชนมองเห็นและให้ความสำคัญก็คือเรื่องการกระทำ ที่ผ่านมาพรรคประชาชนไม่เคยมีกรณีในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีการพูดในเรื่องงูเห่าแต่พรรคประชาชนไม่เคยทำแบบนั้นเลย พร้อมมองว่าในอีกมุมหนึ่งคนที่ออกมาพูดเรื่องงูเห่าบ่อย ๆ อาจจะทำให้เสียเครดิตของตัวเอง
นายณัฐพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่เมื่อวานนี้ (26 เม.ย. 2568) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุจะไม่มีการผลักพรรคภูมิใจไทยออกทั้งพรรค ให้ไปเป็นฝ่ายค้านแล้ว ว่า อำนาจในการปรับครม. เป็นอำนาจของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายก ฯ ซึ่งตนไม่อยากให้สังคมมาให้น้ำหนักกับคำพูดของนายทักษิณ เพราะไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัวจริงในการปรับ ครม.แต่ประเด็นในเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีหลายคนวิเคราะห์ว่ามีรอยร้าวต่าง ๆ ก็อาจเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ปัจจุบันเรามีวาระหลายหลายอย่างที่เป็นแรงกดดันจากนอกประเทศ เช่น สงครามทางการค้า เพราะฉะนั้นการเป็นผู้นำของนายกฯ ที่ต้องควบคุมเสียงภายในพรรครวมรัฐบาล รวมถึงการแสดงออกให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการเจรจากับต่างประเทศก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าได้
เมื่อถามอีกว่ากังวลหรือไม่ว่าจะมีการแลกกระทรวงกันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ในฐานะฝ่ายค้านคงไม่มีความกังวลใจในส่วนนั้น สิ่งที่เราและประชาชนอยากเห็นอาจจะมีการปรับเปลี่ยนครม.จริง คงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเก้าอี้ด้วยความรู้ความสามารถ ดึงคนที่มีความเหมาะสมมาดำรงตำแหน่งไม่ควรที่จะปรับเปลี่ยนเก้าอี้กัน ในเรื่องของการเจรจาผลประโยชน์ทางการเมืองหรือเพียงต้องการรักษาเสถียรภาพในภาพรวมรัฐบาลอย่างเดียวเท่านั้น เพราะวิกฤติประเทศในตอนนี้เปรียบเสมือนระเบิดเวลาถอยหลัง
เมื่อถามย้ำว่ามีการวิเคราะห์ว่าพรรคไทยอาจจะชิงเก้าอี้กระทรวงมหาดไทยกลับคืนมาให้ได้ก่อนเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อให้มีข้อได้เปรียบทางการเมือง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ภายในรัฐบาลจะต้องพูดคุยกัน โดยต้องมองในเรื่องความเหมาะสมเป็นหลักแต่คนที่ตอบได้ดีที่สุดคือนายกฯ
นายณัฐพงษ์ ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ฟังคำสั่งในคำร้องที่ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ไต่สวนกรณีที่กรมราชทัณฑ์อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 8 ปี แต่ได้รับการลดโทษเหลือ 1 ปี ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ว่า ในเรื่องคำร้องตรงนี้ จะเป็นใครก็ได้ที่ไปยื่นคำร้อง
ส่วนผลคำตัดสินของศาล ก็จะเป็นเรื่องที่เราต้องติดตามดู ซึ่งเราก็ยืนยันว่าสิ่งที่เราได้อธิบายในสภาในกรณีโรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ก็เป็นสิ่งที่เราตั้งข้อวิพากษ์วิจารณ์ไว้ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นบุคคลที่มีส่วนรู้เห็นข้อเท็จจริงมาโดยตลอดว่านายทักษิณในฐานะที่เป็นบิดา มีอาการป่วยจริงหรือไม่ และจะดำเนินการอย่างไรเพื่อจะให้รักษาระบบยุติธรรมเมื่อเกิดการเลือกปฏิบัติสองมาตรฐานหรือหลายมาตรฐาน
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ทางด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้แถลงหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายก ฯ ไปแล้วนั้น ทางด้านพรรคประชาชนก็จะดำเนินการในส่วนของการยื่นข้อกล่าวหาในการเว้นปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯต่อไป ส่วนวันที่ 30 เม.ย. 2568 ที่ศาลฎีกาจะมีคำตัดสินนั้น ขอย้ำว่าตนและพรรคประชาชนยังคงติดตามในเรื่องนี้อยู่เช่นเดียวกัน
เมื่อถามอีกว่าถ้าศาลฎีการับคำร้อง จะส่งผลถึงเสถียรภาพของรัฐบาลได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ยังมีกระบวนการอีกหลายอย่าง โดยมองว่าตอนนี้เป็นขั้นตอนแรกเท่านั้นและยังคงมีอีกหลายขั้นตอนในกระบวนการที่จะต้องดำเนินการในส่วนนี้ ส่วนที่จะสะเทือนถึงเสถียรภาพของรัฐบาลมากน้อยแค่ไหนนั้นอยากให้รอฟังผลไปพร้อมกันในวันที่ 30 เม.ย. 2568