หมายเหตุ : “เทพไท เสนพงศ์” อดีตสส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์  ให้สัมภาษณ์พิเศษ รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” วิเคราะห์เจาะลึกถึง “ทางออก” และ “ทางรอด” ของรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จะฝ่าด่านปัญหาความขัดแย้งภายใน “รัฐบาลผสม” จากนี้ได้หรือไม่ และอย่างไร ขณะที่เสียงเรียกร้องให้มีการ “ปรับครม.” ดังกระหึ่มมากขึ้นทุกขณะ ติดตามบทสัมภาษณ์ได้ทางช่องยูทูบ Siamrathonline ออกอากาศเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2568

- ภาคต่อทางการเมืองหลังสงกรานต์

การเมืองจากนี้จะงวดเข้ามาเรื่อยๆ เพราะประเด็นตกค้างมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และกรณีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งล้วนเกิดขึ้นก่อนหยุดยาวสงกรานต์ ซึ่งรัฐบาลได้ชะลอร่างกฎหมายฉบับนี้ออกไป และได้มีความเคลื่อนไหวในลักษณะไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนจากคุณไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย  เรื่องนี้ไม่ใช่การผิดคิวตามที่คุณอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พยายามอธิบาย

การที่คุณไชยชนก พยายามพูดตอกย้ำว่าตนเองเป็นลูกชายคนโต ของคุณเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นั่นเป็นเพราะต้องการแสดงให้สภาฯได้เห็น หรือประชาชนได้เห็นว่านี่คือจุดยืนของครอบครัวชิดชอบ และการพูดของคุณไชยชนก ได้รับความเห็นชอบจากคุณเนวิน มาแล้ว

นี่คือเรื่องใหญ่ เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลเห็นต่างไปจากพรรคแกนนำรัฐบาล ทำให้การเมืองมีความร้อนแรง รวมถึงเสถียรภาพ ความราบรื่นของรัฐบาลเป็นไปได้ยาก  เรื่องนี้มีประเด็นมาตั้งแต่ก่อนสงกรานต์ ฉะนั้นหลังสงกรานต์ ประเด็นนี้จะถูกพัฒนามาเป็นสถานการณ์ในปัจจุบัน

-ที่คุณเทพไท เคยเสนอ4 ทางออกให้กับรัฐบาล อาทิ การเอาพรรคภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล การที่นายกฯเลือกยุบสภาฯ-ลาออก และการปรับครม. เมื่อดูในแต่ละทางเลือก จะพบว่า พรรคเพื่อไทย ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากทั้งสิ้น แต่หากเลือกการปรับครม. แล้วอาจจะต้องไปขัดแย้งกับพรรคร่วมฯอื่นๆตามมาหรือไม่

หากเป็นการเมืองปกติ ทางออกที่ผมเสนอไป 4 ทาง นั้นผมคิดว่าหากพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับพรรคแกนนำ สำหรับการเมืองทั่วไป หลังจากนั้น นายกฯจะมีเพียงทางเลือกคือการยุบสภาฯ  แต่ยุคนี้ไม่เหมือนการเมืองในอดีต  เนื่องจากพรรคเพื่อไทยเองไม่อยากยุบสภาฯ  เพราะหากเลือกทางนี้ ก็จะต้องเลือกยุบสภาฯในวันที่พรรคแกนนำรัฐบาล ได้เปรียบทางการเมือง แต่วันนี้พรรคเพื่อไทยไม่ได้เปรียบใดๆเลย หากเลือกยุบสภาฯตอนนี้ก็จะมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง เพราะ ผลงานยังไม่เข้าตาประชาชน

และเมื่อไปเทียบกับปัญหาเรื่องศรัทธา ที่ลดลงไปเมื่อครั้งที่ไปจับมือข้ามขั้วกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม หลังจากที่เคยประกาศจับมือกับพรรคก้าวไกล หลังเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องเสียมวลชน และหวังว่าเมื่อมาเป็นรัฐบาลแล้ว จะเอาผลงาน ไปกู้ศรัทธาคืน แต่วันนี้ผลงานก็ยังไม่เข้าตาเลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะฉะนั้นหากยุบสภาฯก็จะมีแต่ขาดทุน

ส่วนฝ่ายที่อยากให้ยุบสภาฯก็คงมีแต่พรรคภูมิใจไทย เพราะมีความพร้อมมากที่สุด วันนี้คุมกระทรวงมหาดไทย สามารถกระชับอำนาจ และจัดระเบียบต่างๆได้ อีกทั้งยังไม่มีความขัดแย้งใดๆกับกลุ่มทุน มิหนำซ้ำมวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยม ได้เห็นจุดยืนของพรรคภูมิใจไทยแล้ว วันที่ประกาศไม่เอากาสิโน ซึ่งถือว่าเป็นพรรคที่แสดงจุดยืนชัดที่สุดในบรรดาฝ่ายอนุรักษ์นิยม ก็จะทำให้คะแนนของพรรคภูมิใจไทยเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น เมื่อรู้เช่นนี้พรรคเพื่อไทย จึงไม่ยอมประกาศยุบสภาฯ

และเมื่อนายกฯไม่สามารถควบคุมพรรคร่วมรัฐบาลให้เป็นไปในทางแนวทางเดียวกันได้ และยังมีการฉีกหน้านายกฯกลางสภาฯ กันเช่นนี้ นายกฯต้องลาออก แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง แต่ที่ไม่ลาออก เพราะรู้ว่า อำนาจจะเปลี่ยนมือ ตำแหน่งนายกฯก็ต้องไปตกอยู่ที่คนอื่น ซึ่งจะไปอยู่ที่คุณอนุทิน ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ส่วนการที่จะไปตกอยู่กับคุณชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ย่อมเป็นไปได้ยาก ดังนั้นฝ่ายเพื่อไทยก็กลัวว่าเก้าอี้นายกฯจะหลุดมือ หรือเปลี่ยนมือ จึงไม่ยอมลาออก

ส่วนทางออกที่จะปรับเอาพรรคภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล ก็ทำได้ เพราะเสียงรัฐบาลยังเกินกึ่งหนึ่งในสภาฯ อยู่ประมาณ 6-7 เสียง เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แต่การที่จะขับพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ต้องดูว่าพรรคภูมิใจไทย เขาจับมือแท็กทีมกับพรรคร่วมรัฐบาล หรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าขับภูมิใจไทยออก เขาก็ดึงพรรคร่วมรัฐบาลฝ่ายอนุรักษ์นิยมออกตามไปด้วย เพื่อที่จะต่อรองกัน ถ้าเป็นแบบนี้รัฐบาลล้มแน่นอน

ดังนั้นทางที่เป็นไปได้มากที่สุด คือการปรับครม. ซึ่งล่าสุดมีข่าวว่า อาจจะปรับแน่ปลายเดือนเม.ย.นี้ ผมก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครปฏิเสธ แม้คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล บอกว่าให้ถามนายกฯแล้วกันก็ตาม ซึ่งสื่อให้เห็นว่ามีทางที่จะปรับ เพราะถ้าไม่ปรับกันจริงๆ คุณภูมิธรรม ก็ต้องพูดชัดเจนแล้วว่า ไม่มีการปรับ

ผมจึงวิเคราะห์ว่าหากจะต้องมีการปรับครม. สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะทำได้คือการเอากระทรวงหลักๆ ที่มีผลต่อการเลือกตั้ง มาดูเอง  เช่นกระทรวงมหาดไทย หรือกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นกระทรวงเศรษฐกิจ สลับตำแหน่ง แลกกระทรวงกัน ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลหากจะอยู่ต่อ ก็ต้องทนหวานอมขมกลืนเป็นรัฐบาลร่วมกันต่อไป

หรือถ้าไม่อยู่ต่อ ก็เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้กลัวอะไร เพราะช่วงนี้เป็นช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ  รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ หรือการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่มีปัญหา เพราะกฎหมายต่างๆไม่ได้เข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ หรือแม้แต่เปิดสมัยประชุมสภาฯ รัฐบาลก็ไม่ต้องเอากฎหมายสำคัญๆเข้า สภาฯ ก็เป็นรัฐบาลต่อไปสักพักหนึ่ง หากพรรคร่วมรัฐบาล ไม่พอใจในตำแหน่งรัฐมนตรี ที่เกลี่ยกันแล้วหลังจากการปรับครม. ก็ออกไปเป็นฝ่ายค้านได้  

ส่วนพรรคเพื่อไทยก็เป็นรัฐบาล จากนั้นจัดระเบียบเตรียมพร้อมเพื่อไปสู่การเลือกตั้งใหม่ เมื่อถึงที่สุดแล้ว เป็นรัฐบาลอยู่สักพักหนึ่ง แล้วให้พรรคร่วมฯไปเป็นฝ่ายค้าน จากนั้นค่อยยุบสภาฯ หากเลือกทางนี้ พรรคเพื่อไทยจะได้เปรียบเต็มๆ และเชื่อว่าหนทางนี้พรรคเพื่อไทยน่าจะเลือกมากกว่าทางอื่นๆ

-น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับพรรคเพื่อไทย ต่อรัฐบาล และยังเป็นทางรอดสำหรับนายกฯแพทองธาร อีกด้วย  เพราะทำไป ทำมาเหมือนพรรคเพื่อไทยอยู่ในวงล้อมของพรรคร่วมรัฐบาลแทน

หากพรรคเพื่อไทยเลือกแนวทางที่ 4 จะได้เปรียบมากที่สุด  วันนี้พรรคเพื่อไทยจะเล่นการเมืองแบบไม่ฟังเสียงอะไร ไม่เกรงใจใคร เหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้แล้ว เมื่อก่อนคุณทักษิณ มีสส.ในมือ 377 เสียง สมัยพรรคไทยรักไทย จะไม่ง้อใครก็ได้ จะทุบโต๊ะเอาอย่างไรก็ได้  แต่ปัจจุบันนี้เราก็เห็นแล้วว่าที่ยืนของคุณทักษิณ มันแคบลงทุกที และไม่มั่นคง

นักข่าวไปถามคุณทักษิณ เรื่องกฎหมายกาสิโน คุณทักษิณก็บอกว่าไม่เป็นไร บริหารความขัดแย้งได้ พอสื่อถามเรื่องพรรคภูมิใจไทย ก็ตอบว่าพรรคภูมิใจไทยก็คือภูมิใจไทย  และเมื่อถามว่าหากบางพรรคไม่สนับสนุนจะทำอย่างไร  ก็ตอบว่ามีเสียงพอที่จะผ่านร่างกฎหมายสถานบันเทิงได้  คือจะออกมาในลักษณะประนีประนอม ในลักษณะเจียมตัว ไม่เหมือนเมื่อก่อน หากเป็นแบบนี้คุณทักษิณ ตะเพิดไปแล้ว

แต่วันนี้คุณทักษิณ รู้แล้วว่าสถานการณ์พรรคเพื่อไทย ไม่ได้เปรียบอะไรทางการเมือง เพราะฉะนั้นเขาจะต้องใช้เงื่อนไขทางการเมืองที่ได้เปรียบมากที่สุด นั่นคือการเลือกแนวทางที่ 4 ยึดกระทรวงมา หรือแลกกระทรวงกัน แล้วปรับครม.ไป  หากพรรคร่วมรัฐบาลไม่พอใจ ก็ทนเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยไป พอได้โอกาส ได้เปรียบก็ค่อยชิงจังหวะยุบสภาฯไป แนวทางนี้พรรคเพื่อไทยได้เปรียบกว่าพรรคอื่น ๆ

-บทบาทของคุณทักษิณ ที่เจรจากับผู้นำต่างชาติ รวมถึงยังให้สัมภาษณ์ว่า หากมีโอกาสก็พร้อมที่จะไปสหรัฐฯด้วยตัวเองเพื่อเจรจาเรื่องกำแพงภาษีกับโดนัล ทรัมป์ จุดนี้ถือว่าคุณทักษิณ ยังมีพาวเวอร์อยู่

เราต้องยอมรับความจริงที่ว่า รัฐบาลชุดนี้คุณทักษิณคือนายกฯตัวจริง ส่วนคุณแพทองธาร เป็นแค่นายกฯหุ่นเชิด เป็นแค่นายกฯนอมินี สื่อต่างประเทศ หากจะคุยกับผู้นำของไทยก็ต้องคุยกับคุณทักษิณ ถ้าเราเห็นความเคลื่อนไหวของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย กรณีกำแพงภาษีจากสหรัฐ ฯ ทางด้านอันวาร์ สามารถยกหูพูดคุยกับผู้นำ ทุกประเทศ ยกเว้นประเทศไทย ไม่มีภาพคุณแพทองธาร ว่าอันวาร์ ได้คุยด้วย

แสดงว่าอันวาร์ ไม่คุยกับนายกฯแพทองธาร แต่คุยกับคุณทักษิณ เพียงแต่ไม่สามารถเอารูปคุณทักษิณ ไปขึ้นในชาร์ต ผู้นำประเทศไทยได้ และล่าสุดเมื่ออันวาร์ มาเยือนประเทศไทย ในระหว่างการประชุมบิมสเทค ที่กทม. ก็เพื่อต้องการมาคุยกับคุณทักษิณ ส่วนการไปพบกับนายกฯแพทองธาร เป็นแค่พิธีการเท่านั้น แต่สาระสำคัญอยู่ที่การได้เจอกับพูดคุยกับคุณทักษิณ ที่โรงแรมโรสวู๊ด ซึ่งในวันนั้นจะเห็นว่าคุณทักษิณ ต้อนรับทั้งนายกฯอันวาร์ และมินอ่อง หล่าย ด้วย เท่ากับว่าตอนนี้คุณทักษิณ เป็นนายกฯเต็มตัว

ดังนั้นการที่คุณทักษิณ บอกว่าจะไปคุยกับโดนัล ทรัมป์ เกี่ยวกับกำแพงภาษี แต่ก็เป็นเรื่องที่คิดได้ และก็ทำได้ เพราะน.ส.แพทองธาร ทำไม่ได้ ส่วนการที่ตั้งทีมไทยแลนด์ ที่จะไปเจรจากับสหรัฐฯก็ไม่มีหลักประกันว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่

ซึ่งก่อนหน้านี้คุณทักษิณ ก็เคยบอกเองว่า เขาได้เคยคุยกับคนรอบข้างของโดนัลด์ ทรัมป์ แล้วและจะไม่มีปัญหา ซึ่งผมเชื่อว่าถึงที่สุดคุณทักษิณ ก็ต้องไปคุยกับโดนัลด์ ทรัมป์ เพียงแต่เงื่อนไขของคุณทักษิณ ที่จะไปคุยกับโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปิดให้หรือไม่  เพราะวันนี้คุณทักษิณ ยังเดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ ติดคำสั่งศาลในคดี ม.112 ต้องขออนุญาตต่อศาล ประการต่อมา คุณทักษิณ จะได้รับวีซ่าให้เข้าสหรัฐฯได้หรือไม่ เพราะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ของสหรัฐฯ ได้เคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าบุคคลหรือผู้บริหารของไทย ที่เกี่ยวข้องกับการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน จะงดวีซ่าทั้งตัวบุคคลและครอบครัว เพราะการส่งตัวอุยกูร์กลับจีน คนที่ต้องรับผิดชอบคือนายกรัฐมนตรี จะปฏิเสธไม่ได้เลย

ซึ่งคุณทักษิณอยู่ในครอบครัวที่ถูกแบล็กลิสต์ จะได้ไปสหรัฐฯหรือไม่ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องดูว่าคุณทักษิณ จะประสานกับทางสหรัฐฯได้มากน้อยแค่ไหน การที่คุณทักษิณ แสดงว่าต้องการไปเจรจากับโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นผมเชื่อว่าเขามีศักยภาพมากที่สุด เพราะนิสัยใจคอของคุณทักษิณ กับทรัมป์ นั้นคล้ายๆกัน เป็นนักธุรกิจเหมือนกัน ซึ่งหากคุณทักษิณ ไปได้ก็จะเป็นผลดีต่อประเทศไทย

แต่ต้องยอมรับว่าหากคุณทักษิณ ทำสำเร็จ ก็จะทำให้บทบาทของคุณทักษิณ กดบทบาทของนายกฯแพทองธาร ว่าประเทศนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนหรือบริหารโดยนายกฯแพทองธาร แต่กลับขับเคลื่อนโดยนายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐบาล เป็นนายกฯที่อยู่หลังฉาก เพราะฉะนั้นจะยิ่งทำให้สถานะของนายกฯแพทองธาร ตกต่ำลงไปอีก ในสายตาของประชาชนและประชาคมโลก

-ฝ่ายค้านกำลังเดินหน้ายุทธการโรยเกลือ ซึ่งเป็นภาคต่อจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ด้วยการยื่นเรื่องให้องค์กรอิสระตรวจสอบนายกฯ จะเป็นจุดตายหรือไม่

ฝ่ายค้านประกาศก่อนหน้านี้แล้วว่า จะเดินให้สุด เมื่อเสร็จจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วจะมียุทธการโรยเกลือ โดยจะไปเช็กบิลต่อที่องค์กรอิสระ ถือเป็นความสุ่มเสี่ยงสำหรับนายกฯแพทองธาร วันนี้มีหลายเรื่องที่มีคนจองกฐินเกี่ยวกับความผิดของน.ส.แพทองธาร ซึ่งคดีก็อยู่ในองค์กรอิสระ ฉะนั้นการที่พรรคประชาชน เคลื่อนไหวและนำเรื่องนี้ ไปสู่การตรวจสอบขององค์กรอิสระ ก็จะทำให้นายกฯแพทองธาร ต้องเผชิญกับการตรวจสอบ

อย่าลืมว่าองค์กรอิสระ มีการตรวจสอบที่ค่อนข้างละเอียด และลงลึก ดังนั้นหากผิดพลาดอะไรขึ้นมาจะมีผลกระทบในทางการเมืองตามมาอย่างแน่นอน ดังนั้นนายกฯแพทองธาร ปฏิเสธไม่ได้ ว่ามีหลายเรื่องที่ถูกยื่นตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสียภาษี เมื่อครั้งยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน ดังนั้นเมื่อมีการเพิ่มเงื่อนไข หรือประเด็นที่พรรคประชาชน ยื่นตรวจสอบต่อองค์กรอิสระอีก ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับนายกฯแพทองธาร อีก

-ประเมินการอยู่ร่วมกันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทยอย่างไร

เชื่อว่าวันนี้พรรคภูมิใจไทย พร้อมที่จะแตกหัก เพราะไม่ได้เสียหายอะไร ถ้าจะอยู่ต่อ ก็ได้ ในวันที่เขามีอำนาจรัฐอยู่ในมือมากกว่าพรรคแกนนำรัฐบาล ด้วยซ้ำไป เพราะสามารถกุมกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหัวใจหลัก ของอำนาจรัฐ หรือหากจะยุบสภาฯ พรรคภูมิใจไทย ก็พร้อมที่จะลงสนามเลือกตั้ง มากกว่าพรรคอื่นๆ

วันนี้เชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยพร้อมที่สุด และพร้อมในทุกสถานการณ์ และเราจะเห็นว่าพรรคภูมิใจไทยได้เตรียมการใหญ่ เพราะเขาเชื่อว่า การเลือกตั้งรอบหน้า จะมีการแข่งกันอยู่สองขั้ว คือขั้วอนุรักษ์นิยมกับขั้วที่เรียกว่าประชาธิปไตย หรือขั้วก้าวหน้า ซึ่งมีพรรคประชาชน เพียงพรรคเดียว

แต่ในขั้วฝั่งอนุรักษ์นิยม ก็ต้องนับเอาพรรคเพื่อไทยเข้ามาด้วย  เพราะในวันข้างหน้าหากพรรคประชาชน ได้สส.ไม่เกินครึ่ง ก็ต้องเป็นฝ่ายค้านเหมือนเดิม  ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมต้องมาแข่งกันเอง ซึ่งน่าจะเป็นการแข่งกันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย

เมื่อพรรคภูมิใจไทยได้เสียงมากกว่า ก็ต้องเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แคนดิเดตนายกฯก็ต้องเป็นของพรรคนี้ ในบรรดาพรรคฝั่งอนุรักษ์นิยม ถือว่าพรรคภูมิใจไทยมีโอกาสสูงสุด หากจะให้ประเมินสถานการณ์การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยที่เคยมี 140 เสียง ก็อาจจะลดลงมาเหลือแค่100 ที่นั่งต้นๆ  ส่วนพรรคภูมิใจไทยจากที่มีอยู่ 72 เสียงก็อาจจะขยับไปถึง 130-140 เสียง

ถามว่าทำไมมีความเป็นไปได้ ก็ต้องดูจาก ปรากฏการณ์การเลือกตั้งเมื่อปี 2566 พรรคภูมิใจไทยขยับขึ้นมา 72 ที่นั่งในวันที่ได้คุมกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตอนนั้นก็มีแค่กลไกอย่างอสม. เท่านั้นผลักดันให้พรรคทะยานถึง 72 เสียง แต่วันนี้เขามีกระทรวงมหาดไทย มีอำนาจรัฐตั้งแต่ระดับจังหวัด ไปจนถึงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอยู่ในมือ ดังนั้นการที่จะขยับจาก 72 เสียงไปสู่ 100 ขึ้นคงไม่ยาก

ฉะนั้นคิดว่าพรรคภูมิใจไทย อ่านเกมขาด และวันนี้เขาก็พร้อมทุกหน้า ทุกทาง ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะมาแบบไหน เขาก็พร้อมรับมือทุกทาง

คุณทักษิณ ขยับยาก เพราะยังมีชนักติดตัวปักหลังอยู่คือคดี ม.112 ยังมีคดีชั้น 14 อยู่ในมือคณะกรรมการป.ป.ช. ส่วนคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็ยังไม่ได้กลับประเทศไทย และยังไม่มีหลักประกันว่าสงกรานต์ปีหน้า 2569 จะได้กลับมาหรือไม่ หรือหากจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จะล้างไพ่กันใหม่ ก็รู้อยู่ว่าตัวเองสู้พรรคประชาชนไม่ได้ ตามที่ดีลกันเอาไว้ ฝั่งอนุรักษ์นิยมว่าจะสู้กับพรรคส้มให้

นอกจากสู้กับพรรคส้มไม่ได้แล้ว ยังสู้กับฝั่งอนุรักษ์นิยม อย่างภูมิใจไทยยังไม่ได้เลย ดังนั้นโจทย์นี้จึงไม่ง่ายสำหรับคุณทักษิณ ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้คุณทักษิณ จึงให้อยู่ในอำนาจรัฐ นานที่สุด เท่าที่จะนานได้