คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
แทบไม่น่าเชื่อที่ถึงแม้ว่า “อภิมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์”จะยังคงเป็นที่ชื่นชมและพึงพอใจต่อ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”อย่างมากก็ตาม แต่ขณะนี้กลับมีสัญญาณส่อเค้าลางให้เห็นหลายๆอย่างว่า มหาเศรษฐีผู้นี้เอ่ยปากดำริที่จะลาออกจากการเป็นที่ปรึกษาพิเศษของประธานาธิบดีทรัมป์แล้ว
ทั้งนี้ข่าวออกมาในทำนองที่ว่า ทั้งสองคนจับมือตกลงร่วมกันว่า ถึงเวลาแล้วที่อีลอน มัสก์จะต้องกลับไปทำธุรกิจของตนเอง แต่มิได้ถอนตัวออกไปซะทีเดียว เพราะเขายังคงได้รับบทบาททำหน้าที่อยู่เบื้องหลังให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์แบบมิได้ออกหน้าออกตา!!!
อย่างไรก็ตามข่าววงในยังได้รายงานต่อไปอีกว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นมานี้ สืบเนื่องมาจากบรรดาพันธมิตรคนสำคัญๆของ ประธานาธิบดีทรัมป์บางคนเริ่มรู้สึกหงุดหงิดใจ เพราะพวกเขาไม่สามารถคาดเดาหรือประเมินได้เลยว่า อีลอน มัสก์จะทำอะไรที่ถือเป็นการเสี่ยงต่อสถานภาพการบริหารของรัฐบาลยุคประธานาธิบดีทรัมป์
ซึ่งการกระทำของอีลอน มัสก์ ยังมีแนวโน้มต้องการที่จะเข้าไปพัวพันในการเลือกตั้งครั้งต่อๆไป ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องสร้างความเสียหายให้ทั้งต่อประธานาธิบดีทรัมป์และต่อพรรครีพับลิกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2025 ในการเลือกตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่จะเข้าไปดำรงตำแหน่งคนใหม่ ณ รัฐวิสคอนซิน ซึ่งอีลอน มัสก์ ควักกระเป๋าทุ่มเงินส่วนตัวไปถึง 25 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ต่อต้านสกัดกั้น “ผู้พิพากษาซูซาน ครอฟอร์ด” ที่สังกัดอยู่ในพรรคเดโมแครต แต่กลับปรากฏว่าชาวบ้านร้านถิ่นในรัฐวิสคอนซินไม่พอใจที่อีลอน มัสก์ เข้าไปยุ่งเหยิงเกี่ยวข้องเรื่องการเมืองในรัฐของพวกเขา จนมีผลทำให้ผู้พิพากษาหญิงของพรรคเดโมแครต ที่อีลอน มัสก์ ยอมทุ่มเงินต่อต้าน กลับได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย แถมเรื่องนี้ส่งผลกระทบไปยังประธานาธิบดีทรัมป์อีกด้วย
และครั้งที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3มีนาคม 2025 อย่างที่คาดการณ์ไม่ถึง อีลอน มัสก์ ได้ออกมาเปิดปากกล่าวโจมตีวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ “รัฐมนตรีฯต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ”ว่า “มิได้ขยับตัวสร้างผลงานให้จำนวนของพนักงานในกระทรวงต่างประเทศลดลงไปเลย”
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นเป็นที่แน่นอนว่ารัฐมนตรีต่างประเทศรูบิโอ โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกปากเถียงโต้กลับไปอย่างเข้มข้นจนทำให้บรรยากาศการประชุมคณะรัฐมนตรีต้องพบกับความอึดอัดสับสนวุ่นวาย โดยตอนแรกๆประธานาธิบดีทรัมป์ทำได้แค่เพียงหันหัวไปหันหัวมานั่งฟังการโต้เถียงระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก้ รูบิโอและ อีลอน มัสก์
และถึงแม้ว่ารัฐมนต่างประเทศรูบิโอ จะพยายามอธิบายว่า เขาเองก็มิได้นิ่งเฉย กำลังดำเนินการ ลดจำนวนของคนงานในกระทรวงต่างประเทศแล้วก็ตาม แต่กลับปรากฏว่า อีลอน มัสก์ ก็ยังไม่เลิกราตอกกลับไปอีกว่า “ผมไม่ประทับใจต่อคำอธิบายของคุณ” โดยเขาได้บอกกับรัฐมนตรีต่างประเทศรูบิโอต่อไปอีกว่า “คุณเก่งแต่เฉพาะตอนที่ไปออกรายการทางโทรทัศน์เท่านั้น”
หลังจากที่มีการโต้แย้งกันอย่างยาวนานแล้ว ในท้ายที่สุดประธานาธิบดีทรัมป์ อดรนทนไม่ไหวต้องเข้าไปแทรกแซง โดยเขาได้กล่าวปกป้องรัฐมนตรีต่างประเทศรูบิโอในทำนองที่ว่า “รัฐมนตรีฯต่างประเทศรูบิโอทำงานได้ดีมากแล้ว และยังจะต้องยุ่งในการทำงานอีกมากมายหลายอย่าง เพราะยังมีหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบอีกหลายๆแห่ง เพราะฉะนั้นขอให้ทุกๆคนร่วมกันทำงานแบบเป็นทีมเวิร์คก็แล้วกัน”
โดยวันต่อมาประธานาธิบดีทรัมป์ได้เอ่ยปากชวนให้รัฐมนตรีฯต่างประเทศรูบิโอ และ อีลอน มัสก์ ไปคุยกันนอกรอบที่ “คฤหาสน์ Mar-a-Lago” ณ รัฐฟลอริดา
ส่วนกรณีข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2025 ระหว่างอีลอน มัสก์ กับ “ปีเตอร์ นาวาโร” ที่ปรึกษาอาวุโสทางด้านการค้า ที่อีลอน มัสก์ กล่าวประณามปีเตอร์ นาวาโร ว่า “เป็นคนงี่เง่าในการทำสงครามด้านเศรษฐกิจ” ทำให้ปีเตอร์ นาวาโร โต้กลับไปว่า “อีลอน มัสก์ ก็มิได้เป็นผู้ผลิตรถยนต์ แต่เป็นแค่เพียงผู้ประกอบรถยนต์เท่านั้น”
แม้ว่าการโต้แย้งระหว่างคนทั้งสองจะกลายเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความหงุดหงิดใจให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์อย่างมากก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าโฆษกประจำทำเนียบขาวได้ออกมาอธิบายว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างอีลอน มัสก์ กับปีเตอร์ นาวาโร เป็นแค่เรื่องของผู้ชายที่มักจะมีการโต้แย้งกัน”
และล่าสุดนี้ก็ยังมีเรื่องที่ อีลอน มัสก์ เกิดไปมีปากมีเสียงทะเลาะกับ “รัฐมนตรีคลังสกอตต์ เบสเซนต์”เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้อำนวยการกรมสรรพากร ทำให้รัฐมนตรีฯคลังต้องเข้าไปร้องเรียนต่อประธานาธิบดีทรัมป์ว่า “อีลอนเข้าไปแทรกแซงงานของเขา” และในที่สุดประธานาธิบดีทรัมป์ก็ตัดสินใจแต่งตั้งผู้อำนวยการตามข้อเสนอของรัฐมนตรีคลัง ซึ่งแน่นอนว่ามีผลทำให้อีลอน มัสก์ ต้องเสียหน้าไปโดยปริยาย
และจากรายงานที่อีลอน มัสก์ กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2025 ว่า เขาและทีมงานสามารถประหยัดเงินให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯไปแล้วถึง 150 พันล้านดอลลาร์ ที่ตรงกันข้ามกับคำมั่นสัญญาว่าเขาจะประหยัดเงินได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์
และยังได้เอ่ยต่อไปว่า เขาได้สั่งปลดพนักงานของรัฐบาลกลางออกไปทั้งหมด 216,000 คนผ่าน“องค์การ DODE” ที่เขารับหน้าที่รับผิดชอบการลดค่าโสหุ้ยในองค์กรต่างๆของรัฐบาลกลาง และมาตรการดังกล่าวเป็นที่แน่นอนว่าได้สร้างความปั่นป่วนขวัญเสียกระเจิดกระเจิงต่อพนักงานของรัฐบาลกลางเป็นอย่างมาก!!!
อย่างไรก็ตามสถานะของอีลอน มัสก์ ในการเข้าดำรงตำแหน่งเป็นพนักงานพิเศษของรัฐบาลสหรัฐฯมีอายุการทำงานเพียง 130 วัน โดยจะสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม 2025 นี้
อนึ่งเกี่ยวกับคะแนนนิยมของอิลอน มัสก์ จากผลการหยั่งเสียงของ “สำนักรอยเตอร์” เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2025 อีลอน มัสก์ มีคะแนนนิยมอยู่ที่ 39% แต่มีผู้ที่ไม่พึงพอใจอยู่ที่ 57% ส่วนการหยั่งเสียงของ “สถานีโทรทัศน์ช่องเอบีซี”ล่าสุดนี้ได้รายงานว่า คะแนนนิยมของอีลอน มัสก์อยู่ที่ 36% ส่วนคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ในขณะนี้มีอยู่ที่ 42%
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 ซึ่งเป็นวันที่เฉลิมฉลองชัยชนะการเลือกตั้งของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” โดยวันนั้นเขาได้เอ่ยปากกล่าวชื่นชมต่อ “อภิมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์”ว่า “ต่อไปในอนาคตจะเข้าไปเป็นนักการเมืองดาวรุ่งพุ่งแรงของค่ายพรรครีพับลิกันอย่างแน่นอน”แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่นานกลับปรากฏให้เห็นว่าอีลอน มัสก์ กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของชาวอเมริกันอย่างต่อเนื่อง แถม “องค์การDODE” ที่เขาเข้าไปรับผิดชอบในขณะนี้กำลังถูกฟ้องร้องอย่างต่อเนื่องหลายๆคดีด้วยกัน อีกทั้งการที่เขาสั่งปลดคนงานของหน่วยงานรัฐบาลออกไปหลายหมื่นคน ก็ยังกลายเป็นประเด็นร้อนอยู่ตลอดเวลา และการที่อิลอน มัสก์มักจะทะเลาะกับบรรดารัฐมนตรีในกระทรวงและบุคคลรอบๆข้างของประธานาธิบดีทรัมป์อยู่เป็นประจำ ก็คงจะสร้างความรำคาญใจไม่น้อยทีเดียว และเมื่อบวกลบคูณหารกันแล้ว พอจะสรุปได้เลยว่า “อีลอน มัสก์”มิได้เป็นตัวหนุนให้รุ่งเรือง แต่เขากลับเข้าไปเป็นตัวฉุดให้ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ต้องรุ่งริ่ง จนปวดเศียรเวียนเกล้าละครับ