“ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ขีดเส้น 30 วัน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงกรณีส่งตัว “ทักษิณ” รักษาชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ย้ำไม่หนักใจ เชื่อทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือ พร้อมยืนยันไม่ใช้เวลานานในการตรวจสอบ ด้าน เลขาธิการฯ เผยยุติสอบปม “ฮั้วเลือก สว.” เหตุไม่เข้าเงื่อนไขส่งศาลรธน.แนะผู้ร้องยื่นเองตามช่องทางกฎหมาย ด้าน “บิ๊กอ้วน” ย้ำยังไม่มีสัญญาณปรับครม. หลังมีข่าวกลับไปนั่ง "ก.พาณิชย์" ย้ำ ต้องฟัง "นายกฯ" ส่วน “สุทิน” หัวเราะชอบใจ หลังมีชื่อคัมแบ็ก'รมว.กลาโหม' บอกยังไม่มีสัญญาณ แต่พร้อมสานต่อนโยบายเดิม
ที่โรงแรมเซ็นทาราไลฟ์ ศูนย์ราชการฯ แจ้ง วัฒนะ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงกรณี กสม.ส่งเรื่องผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นฟ้องศาลปกครอง เพิกถอนคำสั่งอนุญาตนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ ให้เป็นการกระทำที่ใช้บังคับไม่ได้หรือโมฆะ ว่า ผู้ตรวจตามแผ่นดิน ได้รับคำร้องจาก กสม.เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการแจ้งเรื่องไปยังกรมราชทัณฑ์และหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง มาประกอบกับข้อกฎหมายในเรื่องของหลักเกณฑ์ และส่งเรื่องไปให้ศาลปกครองพิจารณาต่อไป โดยมีการกำหนดกรอบระยะเวลาไว้ 30 วัน หากส่งมาถึงที่ผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว ก็คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการส่งต่อไปยังศาลปกครอง แต่หากมีความจำเป็น ก็ต้องประชุมหารือก่อน ยืนยันจะดำเนินการโดยเร็ว และเบื้องต้นยังไม่จำเป็นต้องเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประ ชุมด้วย แต่หากมีการประมวลผลแล้ว ก็อาจต้องหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้โอกาสอธิบายเพิ่มเติม
เมื่อถามว่าผลของคำร้องดังกล่าว ต้องการให้คำสั่งส่งตัวนายทักษิณ ไปโรงพยาบาลตำรวจเป็นโมฆะใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า คงต้องไปดูในรายละเอียด ว่าเป็นประเด็นไหนอย่างไร และข้อกฎหมายว่าอย่างไร ซึ่งขณะนี้ทาง กสม.ยังไม่ได้มีการส่งหลักฐานอะไรมาเพิ่มเติม แต่เรามีความจำเป็นต้องขอเพิ่ม เพราะต้องการข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่ในรายละเอียดยังไม่ขอเปิดเผย แต่เบื้องต้นก็จะมีกรมราชทัณฑ์โรงพยาบาลราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ ส่วนคำร้องที่เกี่ยวข้องกับกรณีชั้น 14 และผู้ตรวจการแผ่นดินเคยดำเนินการก่อนหน้านี้ หากมีประเด็นไหนที่เกี่ยวข้องก็จะนำมาพิจารณาร่วมด้วย
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ เพราะหน่วยงานที่เดินหน้าตรวจสอบเรื่องนี้ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันเรื่องนี้เป็นประเด็นสาธารณะที่รับรู้ร่วมกัน อยู่ในความสนใจของสังคม คิดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าจะให้ความร่วมมือ
เมื่อถามว่าหากไม่ได้รับความร่วมมือ ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีอำนาจสั่งการมากน้อยแค่ไหน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เราคงไปไม่ถึงขั้นนั้น โดยรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ บัญญัติไว้ว่าหน่วยงานมีหน้าที่ต้องให้ความร่วมมือ ซึ่งที่ผ่านมาก็มักจะได้รับความร่วมมือดี
เมื่อถามว่ามีความกดดันหรือไม่ เพราะทุกคนต้องการจะรู้ ว่า การใช้ดุลพินิจของกรมราชทัณฑ์เหมาะสมหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่าไม่ เพราะเรื่องที่ส่งมาถึงผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะอยู่ที่ประเด็นที่ร้องเรียนและข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง รวมถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น เมื่อยึดหลักดังกล่าวจะทำให้เราไม่มีความกดดัน จะทำให้เราได้ข้อสรุปที่ดีมีความเห็นร่วมกัน
เมื่อถามว่าจำเป็นจะต้องเชิญกรมราชทัณฑ์มาชี้แจงกรณีให้มีการยกเลิกระเบียบส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก็อยู่ที่ข้อมูลและการพิจารณา ถ้าข้อมูลเพียงพอก็ไม่จำเป็นต้องเชิญ แต่หากมีประเด็นไหนที่ยังไม่ชัดเจนก็ต้องเชิญมา
เมื่อถามว่าตามรายงานระบุว่านอกจากความเห็นจากแพทย์แล้วจะต้องขออนุญาตจากศาลก่อนส่งตัวนายทักษิณ ไปโรงพยาบาลตำรวจ หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตามหลักการคือจะต้องเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ด้าน พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีมีการร้องให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นโมฆะ เนื่องจากมีการฮั้วเลือก สว. ว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครที่ขอให้ส่งรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 213 ซึ่งเป็นผู้สมัครที่ไม่ได้รับการเลือก ก็จะคิดว่าตัวเองถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ จึงยื่นผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่เข้าเงื่อนไขที่จะส่งได้ เพราะสิ่งที่ผู้ร้องร้องมา เป็นกรณีที่มีกฎหมายระบุเงื่อนไขช่องทางการร้องไว้แล้ว วิธีการร้องทุกข์ วิธีการฟ้องร้อง ให้เป็นไปตามกฎหมายอื่น เราจึงส่งไม่ได้ แต่ทั้งนี้ผู้ร้องสามารถไปยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เอง ก็มีหลายเรื่องที่มีการร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน แล้วผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ได้ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ร้องก็ไปยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญเอง ซึ่งศาลก็มีคำวินิจฉัยในบางคดีว่าไม่เข้าเงื่อนไขการร้อง
ด้านนายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า เป็นกรณีที่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนเงื่อนไขและช่องทางการฟ้องร้องไว้แล้ว ซึ่งไม่ใช่การให้มาร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อมาร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเราจึงรับไว้ไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีช่องทาง
ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีชื่อนายภูมิธรรมกลับไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่าตนโดนไปได้ทุกที่ตราบใดที่เป็นการคาดคะเน ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีเรื่องนี้ และยังไม่มีการพูดคุยกันเลย อย่างที่บอกการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีจริงๆ และตนยังไม่เคยได้ยินเสียงบ่นจากนายกฯ ว่าไม่เอาตรงนั้น ได้ยินแต่ว่าอยากให้ร่วมมือกันให้ได้ ท่านได้บอกแล้วว่าท่านเป็นคนตรงไปตรงมาในการทำงาน ไม่ชอบให้มีการทำตรงนั้นตรงนี้ มีวาระขัดกันไปขัดกันมา ท่านไม่อยากเห็น ท่านอยากทำงาน
เพราะฉะนั้น ยังไม่เคยได้ยินเสียงจากท่านเลยว่าจะปรับ ซึ่งสถานการณ์จะปรับหรือไม่ปรับมีปัจจัยหลายอย่าง และคนที่จรดปากกาเซ็นคือนายกฯ สิ่งเหล่านี้ถ้าอยากจะรู้ทิศทางให้ท่านดูคำตอบจากนายกฯ ดูจากภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ท่านก็ตอบชัดเจนว่ายังไม่คิด เพราะนายกฯเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมา
เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่สส.พรรคเพื่อไทย เป็นห่วงเรื่องสินค้าราคาเกษตร จึงมีการเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ปัญหาสส.ในพรรคเพื่อไทยที่รู้สึก และสะท้อนนายกฯก็รับฟัง เพราะถือเป็นปัญหาการทำงานซึ่งเกิดได้ทุกเรื่องทุกอย่าง เราจะบริหารความพึงพอใจให้มากที่สุดไม่ได้ เพราะความพึงพอใจของคนไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่เราทำคือการบริหารความถูกต้อง และความเหมาะสมให้ได้มากที่สุด ดังนั้น ในทางการเมืองต้องบริหารความไม่พอใจให้น้อยที่สุด ไม่ได้บริหารความพึงพอใจ เพราะความพึงพอใจ และความต้องการของคนเท่าไหร่ก็ไม่พอ
เมื่อถามว่า มองว่าจะมีการปรับครม.หลังผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อันนี้เป็นวิธีคิดแบบสูตรเดิม ที่ต้องรอให้เรื่องนั้นเรื่องนี้ผ่าน ซึ่งวันนี้เสียงรัฐบาลพออยู่แล้ว
เมื่อถามย้ำว่า แล้วสูตรใหม่คืออะไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า สูตรใหม่ยังไม่ได้คิด แต่ตนคิดว่าอยู่ที่การมองของผู้นำ ว่าขณะนี้บรรยากาศการทำงานร่วมกันสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายหรือไม่ หากไม่บรรลุเป้าหมายจากจุดไหน นายกฯก็คงพิจารณาว่าเกิดจากเงื่อนไขอะไร หากมุ่งหวังแล้วส่วนไหนที่ยังไม่สามารถทำได้ ไม่ใช่อยู่ๆก็จะปรับ นายกฯก็คงต้องบอกว่าตรงนั้นตรงนี่ต้องขันน็อต ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่นายกฯพิจารณา และยังพูดในหลักการเดิมคือให้ร่วมกันทำงาน และตั้งใจทำนโยบายให้บรรลุผลโดยเร็ว เพราะประชาชามีความคาดหวัง
ด้าน นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง กระแสข่าวที่มีชื่อกลับมานั่งตำแหน่ง รมว.กลาโหม โดยนายสุทินหัวเราะ พร้อมบอกว่าน่าจะเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ตนยังไม่รับการส่งสัญญาณใดๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า พร้อมหรือไม่ หากได้กลับมานั่งตำแหน่งเดิม และสานต่อนโยบายเดิม โดยเฉพาะการจัดซื้อเรือดำน้ำ นายสุทิน กล่าวว่า ส่วนตัวพร้อมทำตามนโยบายอยู่แล้ว ตอนนี้ขอรอความชัดเจนจากพรรค และนายกฯ ก่อน
ที่พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.เจนจิรา รัตนเพียร โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอบโต้กรณี นายนิติพล ผิวเหมาะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวพาดพิงการทำงานของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่า เป็นการวิจารณ์ที่ขาดข้อเท็จจริง และสะท้อนพฤติกรรมที่ไม่สร้างสรรค์ในทางการเมือง คำกล่าวหาว่า “รัฐมนตรีที่โลกลืม” เป็นคำพูดจากคนๆเดียวกับคนที่เคยใช้ภาพลิงเก็บมะพร้าวของต่างประเทศมาด่าประเทศตัวเอง จึงเป็นคำพูดที่ไม่มีค่า ไม่มีน้ำหนักใดๆเลย หากดูจากผลสำรวจของนิด้าโพลปรากฏว่าเป็นรัฐมนตรีที่ไม่ควรปรับ หรือคะแนนให้ปรับน้อยมากๆ ยืนยันว่า รัฐมนตรีเฉลิมชัยปฏิบัติหน้าที่ทั้งในสภาและในเชิงนโยบายอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะการตอบกระทู้ทั้งของวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างครบถ้วน พร้อมกับผลักดันงานเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ ไม่มีการละเว้นตามที่ถูกกล่าวหา ไม่ทราบว่านายนิติพล อยู่และติดตามงานในสภาอยู่หรือไม่
“การไม่ออกข่าว ไม่ได้แปลว่าไม่ทำงาน และการทำงานที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องออกมาโฆษณาตัวเองทุกวัน สิ่งที่ควรดูคือ ‘ผลลัพธ์’ ไม่ใช่ดูแค่โพสต์หรือวาทกรรม” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
น.ส.เจนจิรา กล่าวว่า เมื่อวันที่ (23 เม.ย.) รัฐมนตรีเฉลิมชัยได้เดินทางร่วมคณะนายกรัฐมนตรีไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมข้ามแดน นอกนั้นยังให้ความสำคัญกับนานาชาติในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน หรือยุทธศาสตร์ฟ้าใสกับกลุ่มประเทศในอาเชี่ยน และมีความสำเร็จในการเจรจาในเวที COP29 ที่ประเทศอาเซอร์ไบจัน นอกจากนี้การแก้ปัญหาช้างป่า สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงด้วยการขับเคลื่อนเชิงนโยบายที่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน และการร่วมทำงานกับกรรมาธิการวิสามัญอย่างใกล้ชิด
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอให้นายนิติพลไปถามคนของพรรคประชาชนที่อยู่ในกรรมาธิการดูจะรู้ว่างานแก้ปัญหาเรื่องช้างป่าก้าวหน้าและสำเร็จไปมากแล้ว และในกรณีการเก็บเงินรายได้อุทยานด้วยระบบ E-Ticket ได้ร่วมมือกับ ปปช.ดำเนินการมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว จึงได้เร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จ โดยสำหรับอุทยานฯที่จัดเก็บรายได้มากสุด 10 อันดับแรกให้แล้วเสร็จภายในฤดูการท่องเที่ยวหน้าหรืออีกประมาณ5-6เดือน ส่วนที่เหลืออีกเกือบ150 อุทยาน จะให้แล้วเสร็จภายอดในหนึ่งปี
“ประชาธิปัตย์เราไม่เคยกลัว ไม่เคยหวั่นไหวกับการตรวจสอบใดๆ ขอเป็นเพียงการตรวจสอบ กล่าวหา ว่ากล่าว กันบนข้อเท็จจริง ไม่ใช่ การกุเรื่อง กล่าวหากัน พล่อยๆ พลอยแต่โหนกระแส ไม่สมเกียรติ สมคุณวุฒิ ของความเป็นผู้แทนราษฎร เอาเสียเลย ทำให้นึกถึง คำที่ผู้ใหญ่เคยสอนว่า สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล น่าเห็นใจพรรคที่สังกัด จริงๆที่คงจะต้องผิดหวัง ที่มี ส.ส. ที่ออกมาแสดงอะไรที่ไม่สร้างสรรค์ เช่นนี้“ น.ส.เจนจิรา กล่าว