ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
จากปีค.ศ. 1991 เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การเมืองระหว่างประเทศ ต่างก็ถือว่าสิ้นสุดยุคสงครามเย็น และมีสหรัฐฯเป็นผู้นำเดี่ยว
แต่ตลอดเวลา 34 ปี ที่ผ่านมา สหรัฐฯได้นำพาไปสู่สงครามทำลายล้างรัฐบาลในประเทศต่างๆ ตั้งแต่ประเทศในอเมริกาใต้ ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ เช่น เวเนซุเอลา โซมาเลีย ซูดาน ลิเบีย อิรัก เลบานอน และซีเรีย
เฉลี่ยแล้วสหรัฐฯ เข้ายุ่งเกี่ยวกับสงครามและการล้มรัฐบาลปีละครั้งเป็นอย่างน้อย ซึ่งแน่นอนเมื่อรัฐบาลล่มสลายบ้านเมืองจลาจล และหลายประเทศกลายเป็นรัฐล้มเหลว การสู้รบก็กระจายไปทั่วโดยเฉพาะในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
ขณะที่อิสราเอลก็ขยายวงกดดันเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ เพื่อยึดครองประเทศปาเลสไตน์ โดยไม่ฟังมติของสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ เช่นการเข่นฆ่าล้างผลาญผู้คนโดยเฉพาะเด็กๆนับหมื่นคนในกาซา
โลกจึงร้อนระอุมาตลอด 34 ปี และยิ่งร้อนมากขึ้น เมื่ออิสราเอลแผ่ขยายกำลังไปโจมตีเลบานอน ยึดพื้นที่ในซีเรีย ทำการโจมตีกาซาหนักมือขึ้น และมีการสู้รบกับฮูตีแห่งเยเมน
ที่สำคัญคือพยายามจะลากจูงสหรัฐฯ เข้าทำการโจมตีอิหร่าน แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ จะไม่เห็นด้วยและสนับสนุนการเจรจาสหรัฐฯ-อิหร่าน ซึ่งดำเนินการมาแล้วถึง 2 ครั้ง และเป็นไปด้วยดี ทั้งที่กรุงมัสกัสโอมาน และที่สถานทูตโอมานในโรม ทั้งนี้เพราะโอมานเป็นเจ้าภาพในการเจรจา
แต่สถานการณ์การเจรจาสันติภาพที่มีสหรัฐฯเป็นตัวกลาง ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ไม่สู้ดีนัก จนทรัมป์ปรารภว่าอาจถอนตัว เพราะทั้ง 2 ด้าน คือ เซเลนสกี และปูติน ต่างมีเงื่อนไขที่รับกันไม่ได้ ที่สำคัญคือเซเลนสกี ต้องการรบต่อโดยหวังให้สหรัฐฯ และยุโรปยังคงให้การสนับสนุน เพราะคาดว่ารบไปนานๆรัสเซีย อาจอ่อนแอลง ฝ่ายตนจะได้รุกกลับเอาดินแดนคืน
ส่วนฝ่ายรัสเซียนั้นมีเงื่อนไขหลักคือ ต้องมีหลักประกันสันติภาพถาวร ไม่ใช่แบบสัญญามินส์ ทั้ง 2 ครั้ง ที่เป็นการหลอกรัสเซียเพื่อให้เวลายูเครนเตรียมตัวเพิ่มกำลังมารบกับรัสเซีย และละเมิดสัญญาทั้ง 2 ครั้ง
ด้านสหรัฐฯ ได้ทำสัญญากับยูเครน เรื่องแร่หายากเรียบร้อยแล้วจึงคิดจะถอย และเสนอการเลิกแซงก์ชันกับรับรองไครเมียว่าเป็นของรัสเซีย ซึ่งรัสเซียคงไม่ต้องการแค่นั้น โดยเฉพาะการแซงก์ชันนั้น รัสเซียโดนมาสุดๆแล้วก็ยังอยู่ได้สบาย ในขณะที่สภาพการรบรัสเซียทำการรุกโดยตลอด ซึ่งตอนนี้ผลการรบในแคว้นต่างๆ สรุปได้ดังนี้ แคว้นโดเนสก์ 95% ลูฮันสก์ 99% เคอร์ซอนและซาโปริสเซีย 70% ส่วนแคว้นคุชของรัสเซียก็ยึดคืนมาได้เกือบหมดแล้ว นอกจากนี้รัสเซียยังรุกคืบเกือบยึดแคว้นซุมมี่ได้ทั้งหมด และนั่นคือการปูทางเข้าตีเคียฟ หรือ คาคีฟได้ในอีกไม่นาน
แต่ดูไปแล้วสหรัฐฯยากจะถอนตัวออกเพราะถึงถอนก็จะมีอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีเข้ามาเติมเชื้อไฟ
อนึ่งตราบใดที่ยังมีการสู้รบ สหรัฐฯจะเข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างไร ทั้งการขุดแร่หรือทำการเกษตรที่ยูเครนเอาที่ดินไปประกันเงินกู้ไว้
อนึ่งแนวรบด้านจีน แม้เริ่มต้นจะเป็นสงครามการค้าที่ดุเดือด คือ ต่างก็ขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้กัน โดยสหรัฐฯเริ่มก่อนจนถึงขณะนี้สหรัฐฯได้ขึ้นภาษีไปถึง 245% แต่จีนหยุดแค่ 145% เพราะมองว่ามันไร้ความหมาย ด้วยภาษีเกิน 50% ก็แทบจะค้าขายกันไม่ได้แล้ว ต่อมาสหรัฐฯ สั่งยกเว้นศุลกากรเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ด้านอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ไมโครชิป เพราะเดือดร้อนหนักต้องนำเข้าเป็นจำนวนมาก กระทบธุรกิจไอทีของสหรัฐฯ
แต่จีนไม่หยุดแค่นั้นสั่งยกเลิกการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะก๊าซและน้ำมันและเลิกซื้อเครื่องบินโดยสารโบอิ้งกว่าร้อยลำ และควบคุมการส่งออกแร่หายาก 6 ชนิดที่จำเป็นต่อการประกอบอุปกรณ์ด้านการทหาร ด้านพลังงานและอิเล็กทรอนิกส์
ยังไม่หมดจีนโดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และฝ่ายต่างประเทศต่างออกเดินสายเพื่อหามิตรเพิ่มขึ้น จากการที่ประเทศพันธมิตรเมกาหลายประเทศโกรธแค้น และตอบโต้ทรัมป์ เช่น แคนาดา ยุโรป ออสเตรเลีย ส่วนพันธมิตรจีนในอาเซียนประธานาธิบดีสีลงทุนเดินทางมาเยือนเวียดนาม กัมพูชา และมาเลเซียทีเดียว ด้วยเห็นความสำคัญต่อปริมาณการค้าและการเติบโตของกลุ่ม ASEAN
ตอนนี้ให้จับตาสิงคโปร์ที่นายกฯลอร์เรนซ์ หว่อง ได้มีการแถลงว่าระบบโลกาภิวัตน์มันจบแล้ว เพราะสหรัฐฯ ดังนั้นสิงคโปรจะต้องปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ จึงประกาศยุบสภา ทั้งที่คุมเสียงถึง 95% ในสภา จึงประเมินได้ว่าสิงคโปร์ คงประกาศนโยบาย 360° จึงต้องการฉันทามติจากคนสิงคโปรทั้งประเทศ และคาดว่าต่อไปสิงคโปร์คงจะมีบทบาทสำคัญที่จะชักจูงให้อาเซียนทั้ง 10 ชาติ ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างเป็นเอกภาพ
ทั้งนี้ในปัจจุบันสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาค จึงได้รับผลกระทบอย่างยิ่งด้วยโลก จะมีระบบการเงินหลายขั้วในอีกไม่นาน
ได้เกริ่นไปแล้วว่าการเผชิญหน้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ นั้นร้อนแรงด้วยสงครามการค้า แต่ก็มีท่าทีจะบานปลายไปสู่สงครามทางกายภาพนั่นคือการสู้รบด้วยอาวุธ
ข้อแรกเริ่มที่คลองปานามา โดยทรัมป์ โวยมาตั้งแต่รับตำแหน่งว่าจะยึดคลองปานามา เพราะจีนมามีอิทธิพล ซึ่งก็คือมีบริษัทฮ่องกง ฮัชจินสันไปบริหารท่าเรือที่คลองปานามา ทั้ง 2 ฝั่งคลอง บริษัทนี้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง มีลีกาชิง เป็นประธาน บริษัทนี้ดูแลบริหารท่าเรือทั่วโลกประมาณ 43 แห่งใน 23 เมือง
แต่เมื่อทรัมป์ออกมาขู่จะยึดคลองปานามา บริษัท ก็เลยเจรจากับบริษัทแบลคร๊อกของสหรัฐฯ เพื่อซื้อขายจนตกลงกันได้ แต่สุดท้ายถูก ก.ล.ต.ฮ่องกงที่คุมตลาดหลักทรัพย์ไม่อนุมัติ
ดังนั้นท่าเรือที่คลองปานามา จึงยังเป็นของจีน-ฮ่องกง หากสหรัฐฯยึดครองจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ด้วยข้อตกลงกับรัฐบาลปานามา สหรัฐฯได้ส่งทหารไปควบคุมบริเวณคลองแล้ว
อีก 2 เรื่องที่อาจจะนำไปสู่การสู้รบได้ คือ สหรัฐฯ โวยว่าดาวเทียมเอกชนจีนให้ความช่วยเหลือฮูตี กับอีกกรณีคือ เซเลนสกี ป่าวประกาศว่าจีนส่งทหารไปช่วยรัสเซีย และทำการแซงก์ชั่นบริษัทจีน 3 แห่ง ที่ยูเครนอ้างว่าส่งชิ้นส่วนขีปนาวุธอิสกันดาให้รัสเซีย
แม้ทรัมป์จะประกาศว่าจะสร้างภาพในด้านสันติภาพ แต่เอาเข้าจริงจะทำได้หรือไม่ โดยเฉพาะยังส่งอาวุธสนับสนุนอิสราเอล ในการเข่นฆ่าที่กาซา และก็ยังส่งอาวุธให้ยูเครนอีกในระหว่างเจรจา
และนี่คือสันติภาพร้อนของทรัมป์