จากเหตุคนร้ายยิงปืนใส่กระบะตำรวจ ขณะรับส่ง "พระ-สามเณร" ไปบิณฑบาตในเขตเทศบาลตำบลสะบ้าย้อย ทำให้ "สามเณร" มรณภาพ 1 เจ็บ 1 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Angkhana Neelapaijit ระบุว่า...
#ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและขอประณามการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก
การกราดยิงรถที่พาสามเณร 6 รูปออกบิณบาตร เมื่อเช้าวันนี้จนทำให้สามเณรที่เป็นเด็กอายุ 16 ปีเสียชีวิต และอายุ 12 ปี ได้รับบาดเจ็บ เป็นเรื่องที่เศร้าสะเทือนใจอย่างมาก โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 20 เมษายน ก็ได้มีการวางระเบิดบริเวณริมกำแพงหลังแฟลตตำรวจ สภ. โคกคียน นราธิวาส จนมีเด็ก ๆ โรงเรียนฮาฟิสกุรอานได้รับบาดเจ็บขณะกำลังเดินไปเรียนหนังสือ การกระทำต่อพลเรือนบริสุทธิ์โดยเฉพาะเด็ก ๆ เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ อีกทั้งยังเป็นการขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล ซึ่งแม้แต่ในภาวะสงคราม พลเรือน โดยเฉพาะผู้หญิง และเด็ก ๆ ต้องได้รับความคุ้มครองจากกองกำลังติดอาวุธทุกฝ่าย
ความรุนแรงใน จชต. เริ่มรุนแรงมากขึ้นอีกครั้งในรัฐบาลแพทองธาร ตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มีการตั้งคำถามกรณีความยุติธรรมตากใบที่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐปล่อยให้หมดอายุความ โดยไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมได้ ทั้งที่ผู้ต้องหาคนสำคัญเป็น สส. พรรคเพื่อไทย และดูเหมือนรัฐบาลไม่เคยให้ความสำคัญในเรื่องการเยียวยาการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยความยุติธรรม (judicial harassment) แถมคุณทักษิณยังเชื่อมั่นว่าประชาชนใน จชต. ลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว และคิดไปเองว่าคนรุ่นใหม่ต่างชื่นชมคุณทักษิณ จนคิดว่าความรุนแรงที่ผ่านมา 20 ปีจะจบลงง่าย ๆ ภายในปีนี้ จนมาถึงเดือนรอมฎอนที่ปรากฏความรุนแรงมากขึ้น แม้เป้าหมายการโจมตีจะมุ่งไปที่ฝ่ายความมั่นคง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหยื่อของความรุนแรงเป็นพลเรือนรวมอยู่ด้วย ที่สำคัญเหยื่อหลายคนเป็นเด็ก ๆ ที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน และกฎหมายสงครามระหว่างประเทศ
คุณทักษิณและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยควรยอมรับความจริงว่า ปัญหา จชต. มีความซับซ้อนมากกว่าจะใช้เงินหรืออำนาจในการแก้ปัญหา อีกทั้งการขอโทษแบบขอไปทีโดยไม่มีการสำนึกผิด ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งที่มีรากเหง้าของความไม่เป็นธรรมได้ เพราะการชดใช้เยียวยาด้วยตัวเงินไม่อาจทำให้บาดแผลในใจของผู้คนลบเลือนไป และแม้สภาผู้แทนราษฎรจะตั้งกรรมาธิการสันติภาพ เพื่อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหา ก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากเป็นเวทีที่คนที่เรียกตัวเองว่า #นักสันติวิธีและนักวิชาการ มารวมตัวกันเพื่อเสนอทฤษฎีการแก้ปัญหาความขัดแย้งในรูปแบบที่ตนเองเชื่อ ในขณะที่ กมธ. ชุดนี้ส่วนมากขาดการยึดโยงกับประชาชน อีกทั้งการทำงานยังยืดเยื้อไม่มีข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรมและทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ที่สำคัญ กมธ. ชุดนี้ ไม่ได้เป็นเวที (platform) ที่คนที่เห็นต่างทุกกลุ่มสามารถใช้เป็นพื้นที่ปลอดภัยเพื่อบอกเล่าและเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหา
ถ้าทักษิณและลูกสาวยังคงเชื่อมั่นว่าปัญหา จชต. แก้ได้ง่าย ๆ ด้วยเงินหรืออำนาจที่มีอยู่ และคนรุ่นใหม่ลืมบาดแผลความทรงจำในอดีตหมดแล้ว โดยไม่มีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเปิดพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยน รับฟัง เปิดกว้าง และเคารพข้อเสนอแนวทางแก้ปัญหาของบุคคลทุกกลุ่ม รวมถึงกลุ่มคนที่เห็นต่างจากรัฐ ยอมรับความผิดพลาดในอดีต และให้คำมั่นในการอยู่ร่วมกันในความแตกต่างที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน ปัญหา จชต. ก็อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะจบลงเช่นไร วันนี้เราก็ได้เห็นคนที่มีความคิดสุดโต่ง ทั้งนักการเมือง และข้าราชการบางคน รวมถึงคนบางกลุ่ม พยายามเรียกร้องให้ยกระดับ BRN เป็นขบวนการก่อการร้าย เพื่อรัฐจะได้ปราบปรามได้เต็มที่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ถือเป็นการใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรงจนอาจลุกลามเป็น #ความขัดแย้งด้วยอาวุธ (Armed conflict) หรือสงคราม และคนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคงเป็นพลเรือนที่บริสุทธิ์ รวมถึงกลุ่มเปราะบาง ทั้งเด็ก ผู้หญิง ผู้สูงอายุ และบุคลากรทางศาสนา โดยเฉพาะผู้หญิงที่ถือว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงความขัดแย้งและความรุนแรงจึงควรมีบทบาทสำคัญในทุกกระบวนการตัดสินใจและการสร้างสันติภาพ ... 20 ปีที่แล้วรัฐบาลทักษิณสร้างความผิดพลาดในการแก้ปัญหา จชต. ไว้มาก ก็หวังว่ารัฐบาลแพทองธาร ที่มีเงาของทักษิณคอยกำกับจะไม่ผิดพลาดเหมือนที่พ่อเคยทำไว้ เพราะคนที่ได้รับผลกระทบไม่ใช่คนตระกูลชินวัตร แต่เป็นคนบริสุทธิ์มากมายที่ต้องเป็นเหยื่อความรุนแรงใน จชต. ทั้งความรุนแรงโดยรัฐ และความรุนแรงจากฝ่ายตรงข้ามรัฐ