“ภูมิธรรม” ย้ำสัมพันธ์แน่น “เสี่ยหนู” ปัดข่าวปรับ ครม. ชี้ยังไม่มีรัฐมนตรีคนใดได้รับสัญญาณหลุดโผ ด้าน “ชูศักดิ์” คำนวณเกมการเมือง ยืนยันไร้รัฐบาลไหนกล้าเขี่ย “ภูมิใจไทย” ยันเท่ากับพาตัวเองไปตายดาบหน้า ชี้คว่ำงบฯ คือวิกฤตใหญ่ สวน “ฝ่ายค้าน” ติงร่างงบฯ ปี 69 ไม่ตอบโจทย์วิกฤตโลก ย้ำไม่ร่วมรัฐบาลเพื่อไทยแน่นอน
เมื่อเวลา 10.10 น.วันที่ 23 เมษายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเดินจับมือคู่กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่
นายภูมิธรรม หัวเราะ ก่อนกล่าวว่า ตนกับนายอนุทินทำงานร่วมกันมาอย่างดี เมื่อวันที่ 22 เม.ย.เราประชุมเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ร่วมกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เนื่องจากนายกฯห่วงใยในเรื่องเงินค้างจ่าย โดยการประชุมครั้งนี้นายกฯพึงพอใจ เพราะทุกคนสามารถดำเนินการได้ทั้งหมด และเชื่อว่าเงินทั้งหมดจะถูกใช้ภายในเดือน ก.ย.68 ทั้งนี้ ปกติเราจะเดินคุยกัน จับไม้จับมือกันอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดา เป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ส่วนเรื่องอื่นเป็นแต่ละเรื่องแต่ละราวไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า การปรับพรรคร่วมออกอาจจะไม่มี แต่การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในกระทรวงต่างๆ อาจจะมีอยู่ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า นายกฯบอกไปแล้วว่ายังไม่คิด ณ ตอนนี้ แต่เมื่อวันที่ 22 เม.ย. นายกฯให้สัมภาษณ์บอกว่าจะกลับไปคิด ถือเป็นข้อมูลหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าท่านจะปรับ แต่เท่าที่ตนทราบในหมู่รัฐมนตรียังไม่มีการพูดคุยกันว่าจะต้องถูกปรับ
เมื่อถามว่า ประชาชนไม่พอใจในเรื่องปัญหาราคาสินค้า หากไม่ปรับ ครม. จะช่วยดึงคะแนนของพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องดูข้อเท็จจริงว่ามีเหตุผลอย่างไร อยู่ที่ดุลยพินิจของนายกฯ ซึ่งนายกฯพูดคุยกับหลายฝ่ายอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกันทั้งหมด
ด้าน นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายกรัฐมนตรียืนยันไม่ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะลดแรงกระเพื่อมภายในพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ว่า ถ้านายกฯพูดไปอย่างนั้นก็เป็นไปตามนั้น ส่วนที่ผ่านมาพูดกันตรงไปตรงมา สส.เป็นห่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่เมื่อผู้นำพูดในทำนองนี้ ตนเข้าใจว่าจะทำให้เหตุการณ์คลี่คลายลง และหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายต่างยืนยันว่า ยินดีสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ที่ผ่านมาแค่ผิดคิว ซึ่งก็ว่ากันไป ขณะนี้สถานการณ์มีความเข้าใจกันดีขึ้น เมื่อนายกฯในฐานะผู้นำและมีอำนาจปรับครม.พูดอย่างนี้ พรรคไหนก็ไม่น่าจะมีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยากให้เปลี่ยนกระทรวงเกี่ยวกับการค้าขาย แต่เมื่อเป็นอย่างนี้จะทำให้คนในพรรคเพื่อไทยผิดหวังหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องภายในที่ต้องคุยกัน ตนเข้าใจว่า เป็นเรื่องเสียงสะท้อนของสมาชิกในพรรคที่มองว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องใช้มาตรการในการแก้ปัญหา ไม่ควรปล่อยให้เป็นอย่างนี้ แต่เมื่อนายกฯพูดอย่างนี้แล้วผู้มีหน้าที่ก็ต้องช่วยกันอย่างเต็มที่ จะทำอย่างไรให้ราคาสินค้าดีขึ้น
เมื่อถามว่า หากไม่มีการปรับ ครม.จะฉุดคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยลงหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ยังวิเคราะห์ไม่ได้หรอกว่าจะฉุดหรือไม่ฉุด แต่ท้ายที่สุดอยู่ที่ว่าเราจะต้องทำงาน มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ เป็นรูปธรรม แก้ไขปัญหาต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไป เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เมื่อถามว่า ได้มีการวิเคราะห์กันภายในหรือไม่ว่า หากมีการปรับพรรคภูมิใจไทยออก จะทำให้รัฐบาลเกิดเสียงปริ่มน้ำ และทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นขี่คอพรรคเพื่อไทย นายชูศักดิ์ กล่าวว่า พูดกันตรงไปตรงมา มันมีคณิตศาสตร์การเมือง เราเห็นตัวเลขกันอยู่ ว่าถ้าเอาพรรคนั้นออกจะเหลือตัวเลขเท่าไหร่ มันเป็นคณิตศาสตร์ทางการเมืองที่เกี่ยวโยงกับสถานการณ์ทางการเมือง ความมั่นคงทางการเมือง คนที่เขาทำงานการเมืองต้องเอาเรื่องนี้มาดู มาวิเคราะห์ว่าควรจะเป็นอย่างไร
“แต่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีรัฐบาลไหนที่เสี่ยงจนถึงขั้นไปตายเอาดาบหน้า ทางการเมืองถือว่าเสี่ยงเกินไป ฉะนั้น ถ้าทำอะไรให้เรียบร้อย พอจะไปกันได้ ก็ต้องว่ากันไป” นายชูศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามย้ำว่า ต้องทนๆ กันไปอย่างนี้ใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ หัวเราะก่อนกล่าวว่า อันนี้เราพูดไม่ได้หรอก แต่พูดได้ว่าขณะนี้เป็นอย่างนี้ แต่ในทางการเมืองก็ต้องดูกันต่อไป
เมื่อถามว่า จำนวน 320 เสียงของรัฐบาลเป็นจำนวนที่สามารถลดแรงต่อรองของพรรคร่วมได้ใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ ได้พยักหน้า ก่อนย้อนสื่อว่า “คุณชี้นำเอง”
นายชูศักดิ์ เปิดเผยด้วยว่า จะมีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำประจำปีงบประมาณ 2569 ช่วงวันที่ 28-30 พ.ค. ขณะเดียวกัน จะมีการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) อีก 2 ฉบับ คือ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 และพ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ซึ่งไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะสถานการณ์การเมืองคลี่คลายแล้ว
เมื่อถามว่า คิดว่าจะมีการโหวตล้มพ.ร.บ.งบประมาณฯ หรือไม่ โดยเอาเรื่องความขัดแย้งมาต่อรอง นายชูศักดิ์ กล่าวว่า การโหวตล้มงบประมาณเป็นเรื่องใหญ่มาก ตนว่า มันไม่น่าจะเกิดขึ้น มันเดินไปได้ บริหารบ้านเมืองกันไป ทำนโยบายให้สำเร็จ ซึ่งท่านนายกฯว่าอย่างนี้
เมื่อถามว่า เบาใจไปเยอะใช่หรือไม่ที่จะไม่มีการปรับครม. นายชูศักดิ์ หัวเราะเมื่อถามย้ำว่า นายกฯระบุว่าใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง นายชูศักดิ์ กล่าวว่า การเมืองก็แบบนี้ ต้องดูกันไปว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร การเมืองต้องดูเป็นช็อตเป็นช็อตไป
เมื่อถามว่า มีโอกาสปรับครม.หลังผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณฯใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า อันนี้ต้องดูสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับนายกฯ ท่านบอกว่ายังไม่ปรับ ยังไม่คิดอะไร ก็เป็นไปตามนั้น อนิจจังไปก่อน
ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีเตรียมเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ในช่วงวันที่ 28-30 พฤษภาคม ว่า ขณะนี้พรรคประชาชนได้เตรียมความพร้อมสำหรับการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯ แล้ว มีการแบ่งหน้าที่ให้สมาชิกว่าใครจะอภิปรายเรื่องอะไร โดยมีน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อ เป็นผู้เตรียมเนื้อหาให้กับสมาชิกทุกคน พรรคประชาชนจึงมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการอภิปรายและส่งข้อเสนอไปยังรัฐบาลว่างบประมาณปี 2569 ควรจะจัดสรรอย่างไรให้ตอบโจทย์ประเทศมากที่สุด
เมื่อถามว่าการอภิปรายของพรรคประชาชนจะพุ่งเป้าไปที่งบประมาณหลัก อย่างโครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ตที่ต้องแจกอีกหลายเฟต หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มองว่าปัญหาในการจัดสรรงบประมาณ คือการไม่ตอบโจทย์ประเทศในอนาคตมากกว่า ซึ่งบริบทของโลกและสถานการณ์ของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป คิดว่าพรรคประชาชนจะมีข้อเสนออะไรใหม่ๆ โดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจและปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรที่จะอภิปรายงบประมาณในส่วนนี้ ที่คนใช้แรงงานและเกษตรกรต้องการรอฟังคำตอบว่าจะสรรงบฯอย่างไรที่จะตอบโจทย์
เมื่อถามว่านายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯยอมรับว่าหากในสมัยวิสามัญพิจารณางบประมาณฯ ปี2569 รวมถึงร่างพ.ร.ก. 2 ฉบับเสร็จสิ้นแล้ว ยังสามารถพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรต่อได้นั้น ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า น่าจะยังเร็วเกินไป เพราะผลการศึกษาเรื่องความเสี่ยงอย่าง ทั้งเรื่องการฟอกเงิน และการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น รวมถึงปัญหาที่จะตามมาอย่างการติดการพนัน น่าจะต้องระยะเวลามากกว่านี้ในการศึกษาอย่างรอบด้าน จึงเห็นว่ารัฐบาลไม่ควรหยิบขึ้นมาในพิจารณา แม้รัฐบาลจะถือเสียงข้างมาก แต่ความเห็นของพรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องนี้ยังแตกต่างกันอยู่ คิดว่าพรรคเพื่อไทยน่าจะมีบทเรียนที่จะพยายามผลักดันเข้าสภาแต่สุดท้ายพรรคร่วมไม่เห็นด้วย จึงไม่ควรจะรีบเร่งจนเกินไป
นายณัฐพงษ์ ยัง แสดงความเห็นถึงกระแสข่าวรัฐบาลจะผลักพรรคภูมิใจไทยออก แล้วเอาพรรคพลังประชารัฐเข้าไปแทน ว่า เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเองต้องตัดสินใจ หากจะมองต่อไป ในเรื่องสมการ และตัวเลขทางการเมือง หรือ จำนวน สส.ของฝ่ายค้าน ก็ยังมีส่วนของคดี 44 สส. ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อ 25 สส.ของพรรคประชาชนที่อยู่ในสภาฯ ด้วย และตัวแปรนี้ ก็อาจส่งผลกระทบทางการเมือง
“เราคงตอบแทนรัฐบาลไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้อย่างเต็มที่ คือการเตรียมตัวในการต่อสู้คดี และผลักดันนโยบาย ส่วนรัฐบาลจะเอาอย่างไร ก็อยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรีเอง แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ประชาชนอยากเห็น คือเสถียรภาพของรัฐบาล ในการเดินหน้าแก้ปัญหาของประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีควรให้ความชัดเจนได้มากกว่านี้”นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเอาพรรคภูมิใจไทยออก แล้วเอาพรรคประชาชนเข้าไปแทน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่น่าเป็นไปได้อยู่แล้ว เรื่องนี้น่าจะตอบได้ค่อนข้างชัด เพราะที่ผ่านมาตนยืนกรานไปหลายครั้งว่า ในสภาชุดนี้ พรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาล
เมื่อถามว่ามีการเจรจาเบื้องลึกเบื้องหลังกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ สำหรับการเลือกตั้งรอบหน้า นายณัฐพงษ์ กล่าวยืนยันว่า ตอนนี้ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาลใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงพรรคอื่นด้วย ก็ไม่มีการพูดคุยกัน เพราะก่อนก็จะมีการพูดคุยกันเรื่องนี้ น่าจะอยู่ในช่วงใกล้การเลือกตั้งครั้งหน้า ที่จะต้องหารือกันเรื่องจุดยืน อุดมการณ์ทางการเมือง และจุดยืนในการดำเนินนโยบายต่างๆ
"ตอนนี้ยืนยันว่าพรรคประชาชนไม่มีทาง ไม่เคยมีโอกาสเข้าไปคุย และไม่คิดจะเข้าไปคุย" นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์การอภิปรายของพรรคประชาชนไม่ดุเดือดเท่าการอภิปรายในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเพราะเอาไว้ต่อรองในการเลือกตั้งรอบหน้า นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้คิดว่าจะจับหรือไม่จับกับพรรคไหน แต่พรรคประชาชนเราชัดเจนว่าต้องการเสนอนโยบายที่เป็นผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นหลัก ยังคงยืนยันในจุดเดิม การทำหน้าที่ของฝ่ายค้านในขณะนี้ คือการทำหน้าที่ฝ่ายค้านเชิงรุก ผลักดันกฎหมาย และยังคงเดินหน้าทำงานต่อไป ส่วนจุดยืนว่าจะจับกับใครนั้น ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า คงมีการแสดงจุดยืนชัดเจนมากกว่านี้
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่พรรคเพื่อไทยจะนำพรรคภูมิใจไทยออก และส่งผลต่อสมการทางการเมือง จนทำให้เสียงปริ่มน้ำหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ถ้ามองตัวเลขทางการเมือง ก็มีความเป็นไปได้ หากมีเรื่อง 44 สส.เข้ามา แต่อย่างไรก็อยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรี ตนไม่สามารถตอบแทนพรรคเพื่อไทยได้
เมื่อถามถึงเสถียรภาพของรัฐบาลในขณะนี้ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า แน่นอนว่าในกรอบใหญ่ หรือบริบทการค้าโลก เราอยากได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ในการไปเจรจาผลประโยชน์ประชาชน ถักประชาชนแสดงความคิดเห็นทำทุกอย่างตรงไปตรงมาอย่างสร้างสรรค์ ไม่ได้เอาทุกอย่างมาเป็นประเด็นทางการเมือง เพื่อที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นหลัก ดังนั้น คงต้องมองเป็นเรื่องๆ เรื่องไหนที่เราสนับสนุนรัฐบาล เพื่อประโยชน์ของประเทศ เราก็พร้อมทำงาน ถ้าเรื่องไหนที่รัฐบาลทำผิด เราก็พร้อมแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
วันเดียวกัน ที่รัฐสภา มีการประชุม คณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) พิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) วุฒิสภา
นายแล ดิลกวิทยรัตน์ สว. ฐานะกมธ. ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมว่า ในการประชุมนัดแรก เป็นการพิจารณาเลือกตำแหน่งต่างๆ ในกมธ. ทั้งนี้ที่สังคมตั้งข้อสังเกตต่อการทำงานของกมธ. ว่าเป็นเกมการเมือง และตั้งขึ้นเพื่อต่อรองให้กับพรรคการเมือง นั้นตนไม่สามารถตอบได้ และไม่มีความเห็นเพราะไม่ใช่คนที่ริเริ่มเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ตนมองว่าการตั้งกมธ. เพื่อศึกษาการเปิดสถานบันเทิงจะได้ประโยชน์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะทำงานอย่างไร หรือตั้งบนพื้นฐานของวิชาการและมีความเป็นกลาง จะได้ข้อสรุปที่เป็นประโ