Pi Daily เห็นการไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยและกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง เปิดโอกาสเก็งกำไรในตลาดหุ้น
วันที่ 23 เมษายน 2568 บล.พาย เผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 1016 จุด (+2.6%) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.78% หลังจากสหรัฐฯประกาศคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่นอกจากนี้
เมื่อคืนที่ผ่านมามิได้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับเพิ่มขึ้น มีรายงานออกมาว่าแม้สหรัฐฯจะเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 145% และจีนก็ได้ตอบโต้สหรัฐฯด้วยการเก็บระดับ 125% แต่เป้าหมายนโยบายของ Trump นั้นไม่ใช่การแบ่งแยกเศรษฐกิจของสหรัฐฯกับจีนออกจากกัน แม้การเจรจาอาจจะยืดเยื้อแต่ทั้งจีนและสหรัฐฯก็ไม่คิดว่าจะปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้เงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยสะท้อนผ่าน US Bond Yield ที่ปรับขึ้น ราคาทองคำที่ปรับลงอย่างมีนัยยะสำคัญ และตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัว โดย Sector ในสหรัฐฯที่ฟื้นตัวเด่นได้แก่ การเงิน (+3.3%) สินค้าฟุ่มเฟือย (+3.2%) และฟื้นตัวเล็กน้อย (Underperform) ได้แก่สินค้าจำเป็น (+1.6%)
โดยตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้พลิกมาฟื้นตัวเด่น (Nikkei +2.6%) คาดว่าจะสร้างปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามยังวางใจไม่ได้เพราะกำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศยังคงดำเนินอยู่และยังมีความเสี่ยงกับเรื่องของเศรษฐกิจเพราะในช่วง 90 วันระหว่างการเจรจาของประเทศต่างๆกับสหรัฐฯจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดนิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับเมื่อคืนที่ IMF ออกมาปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกเหลือเพียง 2.8% จากเดิมที่ 3.3% และประเทศไทยเหลือการเติบโตเพียง 1.8% ต่ำสุดในอาเซียน
นอกจากนี้แล้วเมื่อวานที่ผ่านมายังมีการรายงานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในช่วง 1 ม.ค. – 20 เม.ย. ที่ 11.2 ล้านราย (+0.5%YoY) นับเป็นการขยายตัวที่ค่อนข้างต่ำและเสี่ยงที่จากนี้อาจเห็นการติดลบ ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน จึงยังเชื่อว่าการฟื้นตัวของหุ้นไทย (หากเกิดขึ้น) อาจเป็นเพียงระยะสั้นมากกว่า
วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1140 – 1160 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนการฟื้นตัวอาจเป็นจังหวะขายลดพอร์ตมากกว่า เพราะปัจจัยหนุนเรื่องการค้าอาจเป็นเพียงระยะสั้นและเชื่อว่าจะยืดเยื้อสร้าง Downside ต่อเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนระยะกลาง - ยาว ยังมองเป็นโอกาสสะสมเช่นเดิมแต่ยังเน้นกลยุทธ์เลือกหุ้นที่น่าสนใจและเป็นผู้นำอุตสาหกรรม อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) โรงพยาบาล (BDMS)
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
รายได้โรงพยาบาล BDMS มีสัดส่วนจากประกันที่เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 37% (+1 ppts YoY) ของรายได้ในปี 2024 ทั้งนี้ประเด็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายประกันร่วมจ่าย (Co-pay) จะยังไม่มีผลกระทบต่อผลประกอบการในปี 2025 เนื่องจากตามนโยบายจะมีผลบังคับร่วมจ่ายเมื่อมีประวัติยอดเบิกค่ารักษาที่สูงเกินความจำเป็นปีต่อปี โดยหากกระทบก็ประเมิณว่าจะอยู่ในวงที่จำกัด โดยทางผู้บริหารคาดมีโอกาสกระทบรายได้ในปี 2026 เพียง 1-2%
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+8%YoY, -6%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่คาดเติบโต 2% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +0.5% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks
#ทรัมป์ #บลพาย #ข่าววันนี้ #SET #สงครามการค้า #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #หุ้น #ราคาทอง