ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถานการณ์การจราจรติดขัดบนทางหลวงหมายเลข 35 หรือถนนพระราม 2 ซึ่งปัญหาเกิดจากบริเวณจุดสัญจรเป็นลักษณะคอขวด ได้แก่ สะพานคลองขุดบ้านบ่อ (กม.39+357) และสะพานข้ามคลองท่าแร้ง (กม.39+987) ในพื้นที่ อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร ซึ่งปัจจุบันจุด ณ บริเวณสะพานคลองขุดบ้านบ่อ และสะพานข้ามคลองท่าแร้ง (เขตอ.เมืองฯ) มีช่องจราจรแค่ 3 ช่อง รวมทั้ง 2ฝั่ง (ขาเข้าและฝั่งขาออก) 

 

สำหรับปัญหาของเส้นทางที่คับแคบในบริเวณ 2จุดดังกล่าวนี้เป็นเหตุ ทำให้รถเคลื่อนตัวสัญจรได้ช้ามาก ส่งผลให้เกิดมีปริมาณรถติดขัดขึ้นทำให้เกิดการสะสมเป็นระยะทางยาว นอกจากนั้นรวมไปถึงรถยนต์ที่มาจาก โครงการก่อสร้างทางพิเศษหมายเลข 82 (M82)  ที่ไหลเข้ามาสู่ถนนพระราม 2 มีแนวโน้มที่สูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงเส้นทางพระราม 2 ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่จะวิ่งสู่ภาคใต้ มีปริมาณการจราจรหนาแน่นถึงประมาณ 200,000 คัน/ต่อวัน ซึ่งนับว่ามีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากต่อไป

 

ด้าน นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า  ด้วยเหตุปัญหาดังกล่าว ดังนั้นกรมทางหลวง จึงได้จัดการเข้าแก้ปัญหาก็เพื่อหวังทำให้การสัญจรของ ปชช.มีวามราบรื่นและสะดวกมากยิ่งขึ้น ตลอดจนยังสามารถรองรับจำนวนรถในการจราจรที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย ทั้งนี้จึงได้ดำเนินการอนุมัติเงินงบประมาณ 400 ล้านบาท สำหรับใช้งานโครงการก่อสร้างทางคู่ขนานถนนพระราม 2 (สายทางแยกต่างระดับบ้านแพ้ว -บ.บางน้ำวน ช่วง กม.39+000 –กม.40+050  ซึ่งเป็นการได้รับงบจัดสรรงบอยู่ในปีงบประมาณ 2568 อย่างไรก็ดีคาดว่า จะเริ่มดำเนินการสร้างได้ภายใน (เดือนกันยายน 68) นี้ ซึ่งมีระยะทำการจำนวน 780 วัน

 

โดยมีรายละเอียดประกอบการดังนี้ 1.มีก่อสร้างสะพานใหม่ข้างละ 2 แห่งในช่องทางคู่ขนาน, ข้ามคลองขุดบ้านบ่อ (กม.39+357) ความยาว 370 เมตร และคลองท่าแร้ง (กม.39+987) ความยาว 350 เมตร เพื่อขจัดปัญหาคอขวดบริเวณสะพานช่องทางหลัก พร้อมปรับปรุงจุดกลับรถใต้สะพานจำนวน 4 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและลดปัญหาการตัดกระแสจราจรบนทางหลัก  2.ปรับปรุงทางคู่ขนานใหม่ขนาด 6 ช่องจราจร (ไป - กลับ) ผิวทางคอนกรีต ไหล่ทาง และทางเท้า เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับการจราจร ซึ่งจะส่งผลดีต่อช่องการระบายรถเพื่อสามารถลดความแออัด พร้อมกับทั้งระบบระบายน้ำด้วย

 


 
ทั้งนี้ นายอภิรัฐ กล่าวว่า โครงการที่จะทำการก่อสร้างขยายช่องทางถนนคู่ขนานทั้งหมดนี้จะทำในพื้นที่นอกช่องทางหลักที่มีอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตามนั้นยืนยันว่า ไม่มีผลกระทบต่อการจราจรบนช่องทางหลักแต่อย่างใด เพราะได้วางแผนงานก่อสร้างไว้อย่างรอบคอบ และคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ใช้เส้นทางให้น้อยที่สุด และที่สำคัญกับการบริหารจัดการจราจรต้องมีความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกต่อประชาชนอย่างเคร่งครัด