วันที่ 21 เม.ย.2568 เวลา 11.45 น.ที่รัฐสภา นายอลงกต วรกี สว. ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา แถลงภายหลังการประชุมกมธ.ถึงกรณีการจ่ายเงินเยียวยาบ้านพักอาศัย หรือคอนโดมิเนียมที่ได้รับความเสียหาย ว่า ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯมีการร้องเรียนว่า ได้รับความเสียหายประมาณ 32,279 ยูนิต ผ่านการรับรองแล้ว 878 ยูนิต เป็นยอด ณ วันที่ 19 เม.ย. ซึ่งยังสามารถยื่นคำร้องได้ถึงวันที่ 27 เม.ย.นี้ ส่วนกรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัด ทราบมาว่าไม่ค่อยมีปัญหา

แต่ที่เป็นปัญหาคือพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งทางวุฒสมาชิก จะมีหนังสือไปยังกระทรวงมหาดไทย สภาวิศวกร เพื่อขอความช่วยเหลือดำเนินการส่งวิศวกร มาช่วยตรวจสอบเพิ่มเติมเนื่องจากบุคลากรกรุงเทพมหานครมีไม่เพียงพอ แต่อย่างไรก็ตามคาดว่ากระบวนการจะยังไม่แล้วเสร็จภายใน 90 วัน เนื่องจากมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมากนำตัวเลขที่กล่าวมา และมีความละเอียดอ่อนที่ต้องใช้กระบวนการทำประชาพิจารณ์ และการตรวจสอบของวิศวกรทั้งหมด

นายอลงกต กล่าวว่า ที่ประชุมกมธ. ได้สอบถามกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงกรณีที่มีข่าวว่ามีผู้ได้รับความเสียหาย ได้รับการประเมินราคาเยียวยาอยู่ที่ 70 หรือ 300  บาทในราคาที่ค่อนข้างต่ำ แต่ทั้งนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ยึดระเบียบจากกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้กำหนดราคาความเสียหายไว้ ซึ่งจะคล้ายกับการเกิดกรณีเพลิงไหม้ หรือพายุฤดูร้อน และน้ำท่วม ที่ทำให้บ้านเรือนเสียหาย จะเป็นการยึดตามระเบียบเดียวกัน และทางเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามระเบียบ โดยสามารถจ่ายเงินเยียวยาได้สูงสุดอยู่ที่ 49,500 บาทต่อหลัง และต่อให้บ้านมีราคา 10 ล้านบาท ตามระเบียบก็ให้วงเงินมาเพียงเท่านี้

เมื่อถามว่าวงเงินดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยประสบเหตุแผ่นดินไหว จะต้องมีการปรับระเบียบ นายอลงกต กล่าวว่า หากจะมีการปรับระเบียบต้องไปแก้ระเบียบกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ก็จะเป็นกรณีพิเศษเหมือนกับเหตุการณ์น้ำท่วมทางภาคเหนือที่ผ่านมาต้องใช้มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่พบว่ามีความเสียหายเกินกว่าระเบียบที่กำหนดไว้ เป็นเรื่องของข้อกฎหมาย

โดยในเรื่องนี้สว. จะมีข้อสังเกตตรงนี้ ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความเสียหายมากเกินกว่าที่ระเบียบกำหนดไว้ ต้องมีการเยียวยามากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งบทบาทของสว. มีหน้าที่ตรวจสอบและแก้กฎหมาย ก็จะใช้บทบาทตรงนี้เสนอไป ที่ต้องมีการปรับวงเงินมากกว่าปัจจุบัน และในระเบียบเดิมจะตีเป็นการเหมาจ่ายจะรวมค่าแรงด้วย แต่ที่มีความเป็นห่วงคือค่าวัสดุ อุปกรณ์ ที่อาจจะไม่สอดคล้องกับราคาปัจจุบัน ก็จะส่งข้อสังเกตดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย

“ตอนนี้ต้องเชื่อวิศวกรที่เป็นผู้ประเมิน แต่หากประชาชนไม่พอใจในราคาประเมินก็สามารถยื่นอุทธรณ์ตามกระบวนการได้ หากอุทธรณ์แล้วยังไม่พอใจ ก็สามารถส่งเรื่องมาที่สว. ยืนยันว่าผู้เสียหายที่ได้ยื่นเรื่องมาจะรับการเยียวยาทุกคน แต่อาจจะมีล่าช้าบ้าง แต่ชัวร์ ซึ่งกระบวนการตั้งเป้าว่าให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน ที่คาดว่าจะจบภายใน 27 มิ.ย. โดยเฉพาะต่างจังหวัดน่าจะจบ แต่กรุงเทพมหานคร อาจจะล่าช้าเนื่องจากวิศวกรไม่พอ”  นายอลงกต กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่มีประชาชนที่ยังไม่ได้ไปยื่นหนังสือ เพราะมองว่าหากไปยื่นก็ไม่คุ้มค่า นายอลงกต กล่าวว่า จุดอ่อนของกรุงเทพฯคือแทนที่จะทำงานเชิงรุกไปสำรวจความเสียหาย แต่กลับรอให้ประชาชนมายื่นคำร้อง แต่เข้าใจว่าบุคลากรมีไม่เพียงพอจริง แต่ขอพูดในฐานะคนกลางที่เห็นใจทั้งกทม.และประชาชน และมาเจอคำถามขณะยื่นคำร้องว่า พังเสียหายจริงหรือไม่ ซึ่งหน่วยราชการควรถามว่า พังเสียหายระดับนี้จะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง อย่างไรก็ตาม หากมีการร้องเรียนเข้ามาทางกมธ. จะมีการเรียกหน่วยงานเข้ามาชี้แจงเพิ่มเติม

ด้านนายสิทธิกร ธงยศ โฆษกกมธ.องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา กล่าวว่าในวันพุธที่ 23 เม.ย.นี้ กมธ.องค์กรอิสระฯ จะประชุมเพื่อติดตามตรวจสอบหาข้อเท็จจริง กรณีเหตุการณ์ตึกสตง. แห่งใหม่ ถล่ม โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านอาคารสูง และหน่วยงานต่างๆ และสว.ที่เป็นวิศวกร เข้ามาหารือและร่วมตรวจสอบ โดยคาดว่าจะใช้กรอบเวลาไม่เกิน 90 วัน จะได้ข้อสรุป ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร หากพบมีใครเกี่ยวข้อง หรือเป็นตัวการที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้โครงสร้างอาคารพังลงมา ก็จะยื่นองค์กรอิสระให้มีการตรวจสอบต่อไป