หมายเหตุ: "รศ.โอฬาร ถิ่นบางเตียว” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ให้สัมภาษณ์พิเศษ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ถึงสถานการณ์การเมืองหลังสงกรานต์ มีเรื่องใหญ่ที่รัฐบาล “แพทองธาร1” ต้องเตรียมรับมือหรือไม่ ตลอดจนการอยู่ร่วมกันของ “รัฐบาลผสม” จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร และสถานการณ์ของ “พรรคฝ่ายค้าน” จะดำเนินบทบาทอย่างในท่ามกลางการเมืองอันเข้มข้นเช่นนี้
-การเมืองหลังสงกรานต์ "รัฐบาล" ต้องรับมือกับเรื่องร้อน เรื่องใดบ้าง
คิดว่าสิ่งสำคัญมากคือเรื่องที่รัฐบาลลักไก่ขับเคลื่อนร่างพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ที่คิดว่ารัฐบาลยังมีวาระซ่อนเร้น คือไม่ได้เป็นนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่เร่งรีบในการขับเคลื่อนโดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน และเสียงที่เป็นกังวลใจต่อปัญหานี้ และยังขาดการศึกษาอย่างรอบด้าน แต่มีวาระซ่อนเร้น มีความพยายามเหมือนกับจะถูกมองว่าขยับเรื่องนี้เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของกลุ่มทุนที่อยู่ในโครงสร้างการเมืองไทย และเป็นการต่อรองกันอย่างลงตัวของบุคคลชั้นนำ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่หลังสงกรานต์ที่ประชาชน หรือคนที่ติดตามการเมืองจะต้องจับตาเป็นพิเศษ
และเรื่องผลกระทบหลังจากที่สหรัฐฯประกาศตั้งกำแพงภาษี ทางการค้า ซึ่งจะมีผลกระทบกับผู้ประกอบการในประเทศไทยที่ส่งสินค้าไปสหรัฐฯ และจะกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ถดถอยอยู่แล้ว อาจจะทำให้ปัญหาเศรษฐกิจไทยเกิดการขยายตัวที่มากขึ้น และปัญหาโครงสร้างการเมืองของเราเอง จะเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่ตัวนายกฯเองก็เป็นนายกฯนอมินี เป็นนายกฯอุปโลกน์ ถึงแม้จะผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาจากปัญหาที่มันรุมเร้า
จะต้องทำให้บทบาทของคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แสดงบทบาทมากขึ้น ก็จะทำให้ความไม่พอใจทางสังคมก็จะมีมากยิ่งขึ้น เพราะสังคมเห็นว่ารัฐบาลที่เป็นอยู่ไม่มีน้ำยา ไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหา คนที่ดำเนินการแก้ไขจริงๆกลายเป็นคุณทักษิณ ซึ่งเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ จะทำให้เกิดความโกลาหลในโครงสร้างการเมืองในรัฐบาล
ทุกอย่างก็จะมีการต่อรองกัน รัฐบาลเอง พรรคร่วมรัฐบาลเอง มีความจำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน แต่ทุกอย่างก็จะเป็นการต่อรองผลประโยชน์เฉพาะหน้าทั้งสิ้น และจะเผยให้เห็นธาตุแท้ของพรรคร่วม ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ก็จะทำให้เห็นปรากฏการณ์อย่างนี้มากยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นการเมืองบนท้องถนนจะเป็นทางออกหนึ่งที่บรรดากลุ่มคนที่เห็นต่าง พรรคการเมืองที่รู้สึกว่าการเมืองแบบนี้อาจจะไม่ใช่คำตอบ จึงเร้าให้เกิดกระบวนการการเมืองบนท้องถนนได้ง่ายมากขึ้นหลังสงกรานต์
-ประเมินว่า "นายกฯอิ๊งค์" เอาอยู่หรือไม่ หลังจากที่ทำงานมาแล้ว กว่า ครึ่งปี เจอกับเรื่องการเมือง -ผ่านศึกอภิปรายฯ -เจอเหตุการณ์ใหญ่ภัยพิบัติ
อยู่สบายเลย เพราะมีอำนาจพิเศษเป็นแบ็กอัปหนุนหลังให้ โดยไม่สนใจแยแสความชอบธรรมทางการเมือง ใดๆ พูดง่ายๆคือรัฐบาลเส้นใหญ่ แต่ภายใต้แบ็กอัป หรือว่ามีภูมิคุ้มกันทางการเมืองที่มีอำนาจพิเศษหนุนหลัง ในรัฐบาลก็จะมีอำนาจต่อรองกันอย่างเข้มข้น เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์เฉพาะหน้า ของบรรดาพรรคร่วมต่างๆ ในการที่จะกอบโกย หรือแสวงหาผลประโยชน์ ระยะสั้นเพื่อเตรียมพร้อมไปสู่การเลือกตั้งในครั้งหน้า
ขณะที่ผู้คนในสังคมก็อาจจะผิดหวังกับพรรคเพื่อไทยมากที่สุด พรรคเพื่อไทยมาถึงจุดต่ำสุดของความล้มละลายทางการเมือง ไม่ว่าจะสื่อสารอย่างไร ไม่ว่าจะพยายามที่จะกอบกู้ภาพลักษณ์อย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะมีบทบาท ทางการเมือง แน่นอนว่าจะเกิดความยุ่งยากวุ่นวายคือคุณทักษิณ มีความจำเป็นจะต้องทำให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลต่อสมัยหน้า
แต่ภายใต้บรรยากาศโครงสร้างการเมืองแบบนี้ก็จะเกิดความยากลำบากต่อคุณทักษิณที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้ แน่นอนว่าการเลือกตั้งปี 2570 จะเห็นปรากฏการณ์การทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจ หรือสืบทอดอำนาจของรัฐบาลชุดนี้ เราอาจจะเห็นการทุจริตการเลือกตั้งครั้งใหญ่ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ได้
-การเมืองในสภาฯ จะต้องจับตาหรือไม่ เมื่อ ป.ป.ช.ระบุว่า "คดี44 สส.ก้าวไกล" ที่ลงชื่อแก้ม.112 ใกล้จะได้ข้อยุติแล้ว เท่ากับว่า จะเกิดปัญหาต่อพรรคประชาชน ตามมาทันที "ฝ่ายค้าน" จะหายไปจากสภาฯ
ถ้ามองในทางการเมืองก็เป็นวิธีการหนึ่ง เพราะว่าภายใต้การสิ้นหวังที่มีกับรัฐบาลชุดนี้ ทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือก มีพรรคการเมืองที่จะพอพึ่งหวังได้ คือพรรคประชาชน แต่พอสมการอำนาจเป็นแบบนี้ 44 สส.อาจจะต้องถูกดำเนินการทั้งหมด หนักเบาต่างกัน แต่เพื่อที่จะทำให้พรรคที่ประชาชนหวังใจเอาไว้นั้นต้องลดบทบาทลงโดยปริยาย เพื่อที่จะทำให้พรรคที่ประชาชนรู้สึกผิดหวัง รัฐบาลสามารถสืบทอดอำนาจเอาไว้ได้
-บทบาทของคุณทักษิณ เองจะเข้มข้นมากขึ้นหรือไม่ ทั้งการเดินสายพบปะประชาชน ไปจนถึงการ "ต่อสาย" คุยกับ "แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล"
ผมคิดว่าจะเป็นบทบาทหลักเลย เพราะว่าพรรคเพื่อไทย วันนี้ล้มละลายความน่าเชื่อถือ แกนนำแต่ละคนของพรรคก็ไม่สามารถครองใจประชาชนได้เลย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯก็เสียโอกาสการที่จะแสดงบทบาทภาวะผู้นำ สุดท้ายเหลือเพียงคุณทักษิณคนเดียวที่จะเป็นแกนนนำหลักในการขับเคลื่อนพรรคทั้งหมด บทบาทของคุณทักษิณอยากจะลดบทบาท เพราะมีคนวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบเยอะ แต่ไม่มีทางเลือก มาก คุณทักษิณจึงต้องออกมาแสดงบทบาทการนำอย่างเข้มข้น ทั้งที่มีบทบาทในทางการเมือง และในด้านที่ไม่เป็นทางการก็จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นกลายเป็นคนที่นำพาพรรคเพื่อไทยอยู่คนเดียว ในการเมืองหลังจากนี้ไป
-รัฐบาลผสม จากนี้จะอยู่กันไปแบบประคับประคอง หรือพร้อมแตกหักมากขึ้นหรือไม่ เพราะอายุรัฐบาล เริ่มนับถอยหลังแล้ว
คนที่จะสามารถพูดกับพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคร่วมฯยำเกรง เกิดความหวาดกลัว ในฐานะข้าเก่าเต่าเลี้ยง มีเพียงนายทักษิณคนเดียว
-มองสภาพของ "พรรคร่วมฝ่ายค้าน" ที่เหลืออยู่เป็นอย่างไรบ้าง เพราะถ้ามองจากศึกซักฟอก ก็เหมือน พรรคประชาชน ออกหมัดอยู่คนเดียว
พรรคฝ่ายค้านก็จะเหลือแต่พรรคประชาชน เพราะลึกๆพรรคพลังประชารัฐ ก็หาทางเข้าร่วมรัฐบาลอยู่ เพราะดูจากท่าทีการอภิปรายไม่ไว้วางใจส่งสัญญาณชัดเจนว่าเป็นท่าทีขอเข้าร่วมรัฐบาลอีกรอบหนึ่ง เอาไว้เป็นโค้งสุดท้ายถ้าเป็นไปได้ ส่วนบทบาทฝ่ายค้านก็เป็นพรรคประชาชนพรรคเดียว
ถ้า 44 สส.ถูกตัดสิทธิ พรรคประชาชนก็คงทำได้เพียงแค่รักษาบรรยากาศของพรรคฝ่ายค้าน คงจะทำอะไรได้ไม่มาก ถ้าไม่อาศัยวิกฤตเป็นโอกาส พยายามดึงคนที่อยากจะขับเคลื่อนประเทศ คนที่มองเห็นปัญหาหลายๆอย่าง อาจจะปรับเปลี่ยนยุทธวิธีแทนที่มุ่งเน้นแต่คนรุ่นใหม่ อาจจะไปเอากลุ่มวัยกลางคน บุคคลคนเกษียณอายุราชการ กองทัพ ตำรวจ ทหาร อัยการ ศาล ที่เขารู้สึกไม่พอใจกับบทบาทขององค์กรตัวเองที่เคยอยู่ และรู้ปัญหาอะไรเป็นอย่างไรดึงเข้ามาเสริมทัพ
และประสานกับการเมืองของคนรุ่นใหม่ ปรับยุทธวิธีในทางการเมือง เรื่องมาตรา 112 ไม่บุ่มบ่ามมากจนเกินไป ก็อาจจะขับเคลื่อนได้ในการเลือกตั้งปี 2570 แต่ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็คงต้องทำได้เพียงแค่รักษาสถานะความเป็นฝ่ายค้าน
ขณะนี้พรรคประชาชนมีจุดอ่อนคือโดนครอบงำทางจิตวิญญาณ ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มากจนเกินไป อาจจะไม่แสดงออกเหมือนคุณทักษิณ แต่จากท่าทีหรือดูลักษณะหลายๆอย่าง นายธนาธรยังเป็นศูนย์กลางของอำนาจพรรค
เมื่อเป็นอย่างนี้ความคิดลักษณะการสื่อสาร จึงถูกทำให้กลายเป็นคุณธนาธร เป็นปัญหาของพรรค ถ้าพรรคมวลชนจะต้องมีลักษณะเป็นมวลชน แต่พรรคประชาชนโดนกำกับโดยแกนนำ ที่เป็นคนตัดสินใจ กำหนดวิธีการหรือการชี้นำพรรคอยู่ ดังนั้นพรรคก็ต้องไปถอดบทเรียนเอาเอง
-ความเชื่อมั่นของรัฐบาล กับเวลาที่เหลืออยู่ จากนี้ จะเป็นอย่างไร แต่ละพรรคร่วมรัฐบาล ต้องเร่งทำผลงานแข่งกันหรือไม่
ความเชื่อมั่นของรัฐบาลตอนนี้ถดถอยลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทภาวะผู้นำของคุณแพทองธาร บทบาทของคุณทักษิณที่แสดงบทบาทมากยิ่งขึ้น แกนนำรัฐบาลในพรรคเพื่อไทยเองก็ล้มละลายความน่าเชื่อถือ ปัญหาที่รุมล้อมรัฐบาลตอนนี้ทั้งปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาPM2.5 จะทำให้คะแนนนิยมของรัฐบาลตกต่ำมากๆ
ในขณะเดียวกันพรรคร่วมรัฐบาลก็ฉวยโอกาสต่อรองรัฐบาล เพราะเขารู้ว่ารัฐบาลอ่อนแอ เขาจึงต่อรองเต็มที่ เพื่อที่ตัวเองจะเก็บเกี่ยวสะสมทรัพยากรเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง ถ้าเมื่อไหรที่เรือแตก ก็ตัวใครตัวมัน ตอนนี้อยู่ต่อกันไปก่อน ต่อรองกัน
พอเป็นแบบนี้บทบาทของคุณทักษิณ ก็จะหนักขึ้นไปอีก เพราะคุณทักษิณคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้พรรคร่วมเกรงกลัว ดังนั้นเอกภาพของรัฐบาลอยู่เพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น ไม่ใช่เป็นเอกภาพในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล แต่เป็นเอกภาพเพื่อหวังประโยชน์ระยะสั้น
ผมคิดว่ารัฐบาลชุดนี้ตั้งขึ้นมาไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมที่จะแก้ไขปัญหาอะไรให้กับประชาชน เป็นการแก้ปัญหาลูบหน้าปะจมูก โดยอาศัยกลไกราชการแบบเดิมๆ รัฐบาลก็มีความสามารถเพียงแค่ ไปกล่าวรายงานเปิดงานเท่านั้น ไม่สามารถขับเคลื่อนอะไรได้
จึงอยากฝากให้ประชาชนให้ตั้งสติ เฝ้าดูการเมือง แต่อย่าไปคาดหวังกับรัฐบาลมากจนเกินไป เพราะหากคาดหวังมาก รัฐบาลทำไม่ได้ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆก็จะผิดหวัง และมองว่านี้เป็นการเมืองของชนชั้นนำ เป็นประโยชน์เฉพาะหน้าของชนชั้นนำ ที่อ้างความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง ให้เห็นแก่นแท้แกนกลางของ การเมืองไทยที่พยายามอ้างผลประโยชน์ประชาชน แต่สุดท้ายก็เป็นผลประโยชน์ของกลุ่มนักการเมือง ประชาชน ถอยออกจากการเมือง
อย่าไปคาดหวังจากพรรคการเมืองพรรคหนึ่งพรรคใด นักการเมืองคนใดมากจนเกินไป แต่ให้เรียนรู้ทางการเมือง ถ้าอะไรไม่ถูกต้องก็วิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ในฐานะที่เป็นพลเมืองสามารถแสดงออกกับการเมืองที่สัมผัสได้ ณ เวลาขณะนั้น
-ตกลงคุณทักษิณมีความสามารถในการแก้ปัญหาให้ประเทศโดดเด่น
ยังไม่เห็น แต่คุณทักษิณเป็นคนฉลาด ใช้โอกาสในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อสร้างโปรไฟล์ สร้างภาพลักษณ์ ทำให้เห็นว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาในระดับภูมิภาคหรือในระดับนานาชาติได้
แต่พออยู่ในเมืองไทยอาจจะเป็นโครงสร้างการเมืองเรา โครงสร้างอำนาจที่ซับซ้อนหลายๆอย่าง ไม่สามารถขับเคลื่อนได้จริง ก็อาจจะใช้เป็นไอเดียขายฝัน เพื่อหลอกเอาคะแนน จากบรรดากลุ่มคน ที่ยังรักและศรัทธาพรรคเพื่อไทยอยู่