ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน มีเนื้อที่มากที่สุดของประเทศไทย ประมาณ 168,854 ตารางกิโลเมตร หรือมีเนื้อที่ร้อยละ 33.17 เทียบได้กับหนึ่งในสามของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทย มีประชากรราว 22,000,000 คน มีทั้งหมด 20 จังหวัด มีทรัพย์พยากรณ์ทางธรรมชาติ อาหารการกินอยู่อย่างมากมาย “ปลาร้า” ถือเป็นหัวใจหลักของอาหารอีสาน ที่ช่วยชูรสให้มีความอร่อยกลมกล่อม โดยเมนูอาหารอีสานที่มักมีปลาร้าเป็นส่วนผสมคือ ส้มตำ ต้มแซบ แกงเห็ด แกงเปรอะ น้ำพริกปลาร้า รวมถึงเมนูอ่อมต่างๆ ซึ่งแต่ละเมนูมีรสชาติแซบจัดจ้าน บวกกับความหอมของปลาร้าต้มสุก ก็ยิ่งทวีความน่ารับประทานเพิ่มขึ้นไปอีก จึงไม่แปลกที่คนอีสานขาดไม่ได้เปรียบเป็นเส้นเลือดสายหนึ่งเลยทีเดียว นอกจากความอร่อยที่ถูกปากใครหลายคน ปลาร้ายังมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลย ซึ่งประวัติความเป็นมาของ “ปลาร้า” นั้นเป็นภูมิปัญญาอาหารของคนอีสานที่มีการสืบทอดต่อกันมายาวนานกว่า 4 พันปีเลยเชียว โดยชาวอีสานเองจะเรียก ปลาร้า ว่า “ปลาแดก” ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาการถนอมอาหารที่มีมาตั้งแต่โบราณ โดยจะนำปลาสดที่หาได้จากแหล่งน้ำตามธรรมชาติ นำมาหมักใส่ไห หรือภาชนะ ตามสูตรแบบดั้งเดิม ซึ่งปลาร้าที่มีคุณภาพต้องไม่มีกลิ่นเหม็นเหมือนปลาเน่า และคำว่า “ปลาแดก” มาจากคำว่า แหลก โดยปลาที่นำมาหมักจะเลือกที่มีขนาดชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถ้าหากเป็นขนาดใหญ่ต้องสับให้แหลกแต่บางพื้นที่ก็นิยมหมักใส่ทั้งตัวปลาเลย เพื่อจะได้ให้น้ำเกลือซึมเข้าสู่เนื้อปลาได้อย่างทั่วถึง ซึ่งคนอีสานออกเสียงคำว่าแหลก กลายเป็นคำว่าแดก โดยภาษาอย่างเป็นทางการคำว่า แดก คือการรับประทาน รวมถึงมีความหมายว่าการดันปลาเข้าไปอัดอยู่ด้านใน ซึ่ง“ปลาร้า” กับ “ปลาแดก” ก็มีความหมายต่างกันนั้นเอง และในปัจจุบันนี้ปลาร้าได้รับการยอมรับและมีผู้ประกอบการหมักน้ำปลาร้าบรรจุขวดขายให้กับผู้บริโภคหรือผู้ที่ชื่นชอบกับความแซบนัว จากคนในประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนโด่งดังกระจายไปถึงเมืองนอกเมืองนาอีกด้วย จนสำนักโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข ได้แบ่งสารอาหารและหมวดหมู่ในน้ำปลาร้าไว้เยอะแยะ เช่น Fish fermented (Pla-ra) และมีพลังงานต่อปริมาณ 100 กรัม 149 kcal  คาร์โบไฮเดรต 3.9% โปรตีน 15.3% ไขมัน 8.0% น้ำ 52.5% สารอนินทรีย์ 20.3%  ส่วนประกอบพื้นฐาน (จาก 100 กรัม) คาร์โบไฮเดรต 3.90 g โปรตีน 15.30 g ไขมัน 8.00 g น้ำ 52.50 g  สารอนินทรีย์ 20.30 g แร่ธาตุ แคลเซียม 0.00 mg ธาตุเหล็ก 3.40 mg ธาตุฟอสฟอรัส 0.00 mg วิตามิน วิตามิน A 0.00 RE วิตามิน B1 0.02 mg วิตามิน B2 0.16 mg วิตามิน B3 0.80 mg วิตามิน C 0.00 m วิตามิน E 0.00 mg เรตินอล 0.00 µ เบต้าแคโรทีน 0.00 µ  มันมากมายจนยากที่จะปฎิเศษถึงประโยชน์ได้ แต่ก็ยังมีใครหลายคนที่ยังไม่กล้าลองทานปลาร้า เพราะมาจากสาเหตุก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความสะอาด แต่ปัจจุบันปลาร้าได้พากันอัพเกรด และก้าวสู่ระดับสากลมากขึ้น มีการพาสเจอร์ไรซ์ฆ่าเชื้อโรค กลายเป็นปลาร้าอนามัย อย่างที่ บริษัท บอง อินเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด ที่ตั้งฐานโรงงานอยู่ที่143 ม.11 ต. ชีลอง อ. เมือง จ. ชัยภูมิ โทร.044100365 จากการนำทัพสายการผลิตโดยคนเลือดอีสานซึ่งมีความเข้าใจและเข้าถึงในสายเลือดไปแล้วก็ว่าได้ คุณเขมจิรา รักถาวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอง อินเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า ชื่นชอบทำอาหารทานเองและชอบทำอาหารคนอื่นได้รับประทาน โดยชื่นชอบในเมนู ส้มตำ ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของภาคอีสานอยู่แล้ว จึงได้มีโอกาสในการคิด ประดิษฐ์น้ำปลาร้าขึ้นมา โดยวัตถุประสงค์ที่สำคัญ ก็คือ ต้องการสร้างรายได้ใํห้กับครอบครัวและคนในชุมชนหมู่บ้านที่เข้ามาทำงานที่โรงงานเพื่อลดรายจ่ายจากการไปทำงานในกรุงเทพฯ อีกด้วย ซึ่งโรงงานผลิตน้ำปลาร้าบองนัวนี้ เราได้ใส่ใจในการผลิตในทุกๆขั้นตอน เรียกได้ว่า ดูแลกันขวดต่อขวดกันเลยทีเดียว ตรงไหนที่ผิดพลาด ก็จะมีการปรับปรุงแก้ไขกันอยู่เสมอ เพื่อให้ได้สินค้าที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภคต่อไป “ส่วนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของที่นี่ ได้มีการส่งเข้าตรวจสอบจนผ่านมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) ที่รับรองความสะอาด และถูกสุขอนามัยในการผลิต สามารถส่งออกได้ทั่วโลก ถึงจะไม่ได้เป็นผู้บุกเบิกในรุ่นแรกๆที่ผลิตน้ำปลาร้า ปรุงสุกถูกหลักอนามัยเหมือนรุ่นพี่ที่เคยทำมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่บองนัว ยึดมั่นสิ่งสำคัญที่สุดคือคุณภาพวัตถุดิบ กรรมวิธีในการผลิต และความสะอาดที่จะต้องเป็นหลักของการผลิตน้ำปลาร้าอย่างมีคุณภาพจนได้รับตราจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เพื่อยืนยันในความสะอาด โดยขณะนี้บองนัวได้มีผลิตภัณฑ์สินค้าออกจำหน่ายไปแล้วกว่า 5 ประเภทได้แก่ น้ำปลาร้าบองนัว ต่วงนัว ฉลากเหลือง / น้ำปลาร้าบองนัว หอมนัวฉลากแดง แจ่วบองจิ๊ดจ๊าด / น้ำพริกปลาดุกแมงดา/ น้ำพริกปลาดุกย่าง ซึ่งมีการได้รับการตอบรับที่ดีในขณะนี้ และสินค้าตัวที่ 6 กำลังออกตลาดในเร็วๆนี้  เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าตลาดอาเซียนเพื่อนบ้านลูกค้าในทุกกลุ่ม ทางด้านการตลาดในการส่งออกสินค้าไปสู่ตลาดอินเตอร์ ภูมิภาคยูโรใน3-4ประเทศ ของบริษัทนั้น ได้มีการเริ่มมีการติดต่อส่งสินค้าสู่ตลาดไปบ้างแล้ว ซึ่งในขณะนี้ มีแนวโน้มเสียงตอบรับจากลูกค้าที่ต่างประเทศ ในประเทศ อิตาลี่ อังกฤษ เยอรมัน เป็นต้น” คุณเขมจิรา กล่าวว่า ความแตกต่างหรือจุดเด่นในการผลิตน้ำปลาร้าของบองนัว คือเรื่องกลิ่นปลาร้า ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นปัญหาของผู้ปริโภครายใหม่หรือต่างชาติ โดยทางบริษัทก็เข้าใจถึงปัญหานี้จึงได้มีการคิดค้นกรรมวิธีที่ไม่มีกลิ่นฉุนจนเกินไป แต่ยังคงความกลมกล่อม ของรสชาติ ความนัว ไม่หวาน เพื่อที่จะให้ผู้บริโภคของได้สามารถนำน้ำปลาร้าอนามัยไปปรุงเพื่อประกอบอาหารได้ทุกเมนูของครัวสไตล์คุณเลยทีเดียว “ในด้านยุทธศาสตร์ การค้า และเป้าหมายของบริษัทในการตลาด ต้องการให้เข้าถึงผู้บริโภคให้มากที่สุด ทั้งภายในประเทศให้ได้ครบทุกจังหวัด ตามห้างสรรพสินค้าค้า ร้านของฝาก ร้านขายส่ง  ร้านค้าปลีกในชุมชน ของทุกภาคในประเทศไทย รุกถึงตลาดในอาเซียน ประเทศเพื่อนบ้าน และตลาดในต่างประเทศเพื่อที่จะบ่งบอกความเป็นไทย จากความภูมิใจสายเลือดคนอีสานที่อยู่ในทุกมุมโลกใบนี้อีกด้วยต่อไป” คุณเขมจิรา กล่าว