จากกรณีเหตุสะเทือนขวัญกลางดึกวันที่ 15 เมษายน 2568 ชายคลั่งใช้มีดพร้าบุกฟันชาวบ้าน 2 รายในพื้นที่หมู่ 11 ตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล ทำให้มีผู้บาดเจ็บสาหัส 2 ราย ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้แล้ว พร้อมนำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชจังหวัดสตูล เนื่องจากมีอาการคลุ้มคลั่ง
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 23.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ควนกาหลง ได้รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกทำร้ายด้วยมีดปลายแหลม และมีดพร้าในบ้านหลังหนึ่ง ทราบชื่อผู้บาดเจ็บรายแรกคือ นายสมมาตร พลาอาด อายุ 35 ปี ขณะนั้นกำลังนั่งเล่นเกมกับเพื่อนอีกสองคนภายในบ้าน จู่ ๆ คนร้ายที่รู้จะคุ้นเคยกันดี ได้บุกเข้าไปในบ้านกลางดึกแล้วดึงปลั๊กไฟในบ้านออก ก่อนใช้มีดปลายแหลมแทงเข้าที่ลำคอนายสมมาตร แล้วหลบหนีกลับไปที่บ้านพักซึ่งอยู่ในชุมชนใกล้กัน หลังจากนั้น คนร้ายได้กลับไปเอามีดพร้า และเดินไปยังบ้านอีกหลัง ที่อยู่ห่างออกไปราว 300 เมตร ก่อนก่อเหตุทำร้าย นายรอสัก มรรคาเขต อายุ 67 ปี ขณะนอนพักผ่อนภายในหน้าบ้านที่ปิดประตูไว้แต่ไม่ได้ล็อกกลอนประตู
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน ทราบชื่อคือ นายอัสบาส หรือ "แมน" อายุประมาณ 35 ปี เป็นชาวบ้านในละแวกเดียวกัน มีประวัติใช้ยาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงส่งตัวเข้ารับการรักษาให้อาการคลุ้มคลั่งสงบที่โรงพยาบาลสตูล
ด้าน พ.ต.อ.อำไพ ชุมช่วย ผู้กำกับการ สภ.ควนกาหลง สั่งการให้มีการเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน และเตรียมขออนุมัติหมายจับจากศาล โดยยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยแก่ชาวบ้านในพื้นที่ จากการสอบถาม “น้องฝ้าย” บุตรสาวของนายรอสัก เล่าว่า ตอนเกิดเหตุอยู่ในบ้านกับสามี พ่อ และลูกบุญธรรม ได้ยินเสียงผิดปกติ แต่ไม่คิดว่าจะมีคนร้ายบุกเข้ามาทำร้าย ตอนนี้พ่อพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่อาการยังต้องเฝ้าระวัง รักษาตัวอยู่ที่รพ.สตูล
ขณะที่ เด็กชายวัย 11 ปี ลูกบุญธรรมของผู้บาดเจ็บ เผยว่า ยังอยู่ในอาการตกใจ เห็นคนร้ายถือมีดพร้าเข้ามาในบ้าน ฟันตาของผม แล้วผมรีบไปแอบอยู่ข้างประตู ขณะที่พ่อกับแม่ออกมาคนร้ายได้รีบหลบหนีไป
ด้านเพื่อนบ้านในละแวกจุดเกิดเหตุ (จุดเกิดเหตุหลังแรก) ให้ข้อมูลว่า นายแมน ผู้ก่อเหตุเพิ่งเดินทางกลับมาจากกรุงเทพฯ มาอยู่กับภรรยาได้เพียง 2 สัปดาห์ ก่อนจะก่อเหตุโดยไม่มีปัญหากับผู้บาดเจ็บมาก่อน แต่ช่วงหลังมีปากเสียงกับคนในครอบครัวบ่อยครั้ง ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความหวาดผวาให้กับชาวบ้านในพื้นที่อย่างหนัก หลายคนระบุว่า ต่อไปคงต้องระมัดระวังมากขึ้น แม้อยู่ในบ้าน เพราะพบว่าอันตรายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันจะเร่งดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมกำชับมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำในพื้นที่อีก