สตูล – คดีสุดสะเทือนขวัญกลางดึกเมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา ชายคลั่งใช้มีดพร้าบุกทำร้ายชาวบ้าน 2 หลังติดกันในพื้นที่ตำบลทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จ.สตูล ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ล่าสุดตำรวจควบคุมตัวผู้ก่อเหตุไว้ได้แล้ว พบมีประวัติอาการทางจิตจากการเสพยาเสพติด
เมื่อเวลา 23.20 น. สภ.ควนกาหลง ได้รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธมีดพร้า ที่บ้าน หมู่ 11 ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง โดยผู้บาดเจ็บคือ นายรอสัก (สงวนนามสกุล)อายุ 67 ปี เจ้าของบ้าน และนายสมมาตร (สงวนนามสกุล) ซึ่งยังไม่ทราบอายุและที่อยู่แน่ชัด ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลควนกาหลงในเบื้องต้น
จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายอัสบาส (ขอสงวนนามสกุล) ชาวบ้านในพื้นที่เดียวกัน หลังก่อเหตุได้หลบหนีไป ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเร่งติดตามตัว กระทั่งควบคุมตัวได้ในเวลาต่อมา และนำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลสตูล เนื่องจากมีอาการป่วยทางจิตที่เกิดจากการใช้ยาเสพติด
ร.ต.อ.ธนวัฒน์ หลีพงษ์ พนักงานสอบสวน ได้รับมอบหมายให้ดำเนินคดีนี้ ภายใต้การกำกับดูแลของ พ.ต.อ.อำไพ ชุมช่วย ผกก.สภ.ควนกาหลง โดยเจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับ
เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกแก่ชาวบ้านในพื้นที่อย่างมาก โดยชาวบ้านรายหนึ่งกล่าวว่า “คนร้ายใส่หมวกมุสลิม เหมือนเดินวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านหลายวันแล้ว ชาวบ้านไม่สบายใจ อยู่ในบ้านยังไม่ปลอดภัย อยากให้ตำรวจกวาดล้างคนลักษณะนี้ออกไป เพราะเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากยาเสพติด”
ขณะที่ “น้องฝ้าย” บุตรสาวของนายรอสัก เผยว่า “ขณะเกิดเหตุตนอยู่ในบ้านกับสามี พ่อ และลูกบุญธรรม ได้ยินเสียงผิดปกติ แต่ไม่คิดว่าจะมีคนร้ายบุกเข้ามา พ่อก็แค่นอนหน้าบ้าน เพราะบ้านปิดประตูแต่ไม่ได้ใส่กลอน จนเกิดเหตุร้ายขึ้น ตอนนี้พ่อพ้นขีดอันตรายแล้ว และรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเมืองสตูล”
เด็กชายวัย 11 ปี ลูกบุญธรรมของผู้บาดเจ็บ เล่าเหตุการณ์ระทึกว่า “ตอนนั้นผมนอนเล่นเกมอยู่ ได้ยินเสียงคนเปิดประตู เห็นผู้ชายถือมีดพร้าเข้ามา ฟันตาของผม ผมตกใจมาก เลยแอบอยู่ข้างประตู แล้วพ่อออกมาจากห้อง คนร้ายถึงวิ่งหนีไป”
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบว่าคนร้ายก่อเหตุซ้อน 2 หลังในคืนเดียวกัน โดยอีกรายที่บ้านใกล้เคียง อายุ 35 ปี ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการรักษา ไม่สามารถให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ได้
ตำรวจเตรียมดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมเน้นย้ำว่า คดีนี้จะต้องถึงที่สุด เพื่อคืนความปลอดภัยให้ประชาชนในพื้นที่