ใครว่า “ภูมิใจไทย” จะยอมหมอบกันง่ายๆ  ในเมื่อมีเขี้ยวเล็บในมืออีกมากมาย ปฏิบัติการเขย่า “พรรคเพื่อไทย” ที่เกิดขึ้นก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.68 สกัดไม่ให้ “ร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” เข้าสู่การพิจารณา ของสภาฯ ในวาระแรก จึงเกิดขึ้นได้อย่างที่เห็น

ความเคลื่อนไหวทางการเมืองก่อนส่งท้ายสมัยประชุมสภาฯ เต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ ระหว่าง “พรรคร่วมรัฐบาล”ด้วยกันเอง  โดยที่ “พรรคฝ่ายค้าน” กลายเป็นเพียง “ตัวประกอบ” ในทางอ้อม

เพราะก่อนที่ร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะไปได้ไม่ถึงบันไดสภาฯ เพียง 1วันปรากฏว่า “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จำต้องแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ โดยมี แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ร่วมคณะด้วย ประกาศว่าให้เลื่อนการนำร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไปพิจารณาในสภาฯ สมัยประชุมครั้งหน้า เนื่องจาก ณ เวลานี้ บ้านเมืองมีวิกฤต ที่เป็นเรื่องด่วน สมควรที่จะนำไปหารือกันในสภาฯก่อน

ทั้งกรณี การรับมือกับภัยพิบัติแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มี.ค.68 ที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นยังมีตึกของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เกิดพังถล่มขณะก่อสร้าง ทำให้มีผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต และที่ยังสูญหายอยู่ด้วยกันมากกว่า 70 ราย

เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อหลายสิบประเทศทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการประกาศมาตรการกำแพงภาษีของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งงานนี้ประเทศไทยถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีนำเข้าถึง 37 %  ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลไทยต้องรับมือ เนื่องจากกระทบกับปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ อย่างเห็นได้ชัด

ด้วยเหตุผลที่ว่านี้ ดูจะมีน้ำหนักที่มากพอให้นายกฯแพทองธาร และพรรคเพื่อไทย ยังคงยืนอยู่ในจุดที่เรียกว่า “เสียหาย” น้อยที่สุด !

อย่าลืมว่า ก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เท่านั้นที่ออกมาแสดงบทขึงขัง และมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯในวาระแรกได้เท่านั้น แต่ยังเป็น ทักษิณ เองที่ออกมาพูดถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หากมีเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์เกิดขึ้น ในบ้านเรา

แต่เมื่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้นดูจะสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง แม้ นายกฯแพทองธาร จะผ่านศึกซักฟอกในสภาฯอย่างสบายๆ ได้รับเสียงสนับสนุนท่วมท้น ไม่มีพรรคใดแตกแถว ทำให้พรรคเพื่อไทยเอง แสดงความมั่นใจว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะผ่านฉลุย

นอกจากนี้หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ นายกฯแพทองธาร เดินทางไปบุรีรัมย์ บุกถิ่นเซาะกราว  โดยมี “ครูใหญ่เนวิน  ชิดชอบ” ประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ในฐานะเจ้าบ้านมาให้การต้อนรับ ภาพการพบกันด้วยไมตรี ระหว่างทั้งคู่ยิ่งตอกย้ำว่าความขัดแย้งที่เคยมีต่อกันนั้นเป็นแค่ “ข่าวลือ”

เท่ากับว่าการผลักดันร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ฯ ของพรรคเพื่อไทยน่าจะผ่านสภาฯในวาระแรกอย่างฉลุยเช่นกัน เมื่อทุกอย่างดู “เป็นใจ” ไปเสียหมด

หลังย้อนกลับไปช่วงก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯเพียงไม่กี่วัน เกิดข่าวลือสะพัดไปไกลว่า ทักษิณ “ขู่” พรรคร่วมรัฐบาล ถ้าใครไม่โหวตผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้จะขับออกจากรัฐบาล แน่นอนว่า ข่าวนี้ทำเอา พรรคเพื่อไทย ถึงกับนั่งไม่ติด เพราะเกิดเอฟเฟกต์ตามมาด้วยกันหลายด้าน

ทางหนึ่งคือเรื่องราวลามไปถึงทักษิณ ที่ยังมีประเด็นว่าด้วยการ “ครอบงำ” ทั้งนายกฯ และรัฐบาล เป็นชนักติดหลัง  และอีกทางหนึ่ง ยังสะท้อนว่า พรรคร่วมรัฐบาล “ถูกบีบ” ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว วงในของพรรคเพื่อไทยเอง รู้ดีว่าข่าวนี้มี “วาระซ่อนเร้น” เป็นฝีมือจากคนกันเองในรัฐบาลผสม ที่ต้องการ “ขวาง” ร่างกฎหมายสถานบันเทิง

จะเห็นได้ว่าตลอดเส้นทาง ของการผลักดันร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ โดยพรรคเพื่อไทย นั้นเจอสิ่งกีดขวางทั้งจากมวลชนนอกสภาฯ คู่ขนานไปกับ “แรงกระเพื่อม” จากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน เป็นระยะๆ สอดรับกับการที่ “สว.สายสีน้ำเงิน” ประกาศ ไม่รับร่างกฎหมายนี้ และยังพร้อมที่จะตอบโต้ “รัฐบาล” หากยังดึงดันนำเข้าสภาฯ

บทบาทและการแสดงออกของ ตัวละครสำคัญที่น่ามีผล ทำให้ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวมีอันต้องชะงัก จึงถูกโฟกัสไปที่พรรคภูมิใจไทย และสว.สายสีน้ำเงิน ซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน แม้ที่ผ่านมา “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะย้ำว่า ไม่มีปัญหา เพราะเป็นร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากครม.แล้ว และในครม. ก็มีพรรคร่วมรัฐบาล อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว

แต่ดูเหมือนท่าทีของอนุทิน จะสวนทางกับ แกนนำในพรรคภูมิใจไทยเอง โดยเฉพาะ “ไชยชนก ชิดชอบ” สส.บุรีรัมย์ ประกาศกลางสภาฯว่าไม่ยกมือให้อย่างแน่นอน จนมีการตั้งคำถามตัวโตๆว่า ท่าทีของ “ลูกชายเนวิน” เจ้าของพรรคภูใจไทย นั้นย่อมมีน้ำหนักมากพอใช่หรือไม่

ปรากฏการณ์เบรก ร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เมนท์ฯ ที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าเป็นเกมการเมืองจาก “พรรคร่วมรัฐบาล”ที่กำลังสำแดงอำนาจ ทั้งกดดันและต่อรอง กับเจ้าของพรรคเพื่อไทย อย่างชัดเจน   เหมือนกับที่ นายกฯแพทองธาร เคยพูดว่าเรื่องนี้มีเกมการเมืองบิดเบือนสาระของร่างกฎหมายที่รัฐบาลตั้งใจจะผลักดันเพื่อนำมาใช้สร้างรายได้

อำนาจการต่อรองทางการเมือง ที่เพิ่งปิดฉากลงไปก่อนเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์อาจเป็นเพียงฉากหนึ่งที่ปรากฏเท่านั้น   แต่ที่ชัดเจนที่สุด คือการสะท้อนว่าเหนือทักษิณ ยังมี ครูเนวิน ที่ยังมีอาวุธหนักอยู่ในมืออย่างสว.สีน้ำเงิน ที่รอเปิดเกม “เขย่า” กันต่อ !