คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า มันสมองที่อยู่เบื้องหลังการก่อสงครามเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มนักธุรกิจกระเป๋าหนัก ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ยังเป็นผู้ที่เคยให้การสนับสนุนช่วยเหลือ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ให้ได้รับเลือกเข้าสู่ทำเนียบขาวในสมัยที่สองอีกด้วย
เมื่อวันจันทร์ที่ 7 เมษายน 2025 มีข่าวเล็ดลอดออกมาพอให้ทราบกันแบบคร่าวๆแล้วว่า กลุ่มมันสมองต้นตอของแนวความคิดสูตรสงครามเศรษฐกิจต่อประเทศต่างๆนั้น มาจาก 3 บุคคลที่มีอิทธิพลต่อชีวิตทางแวดวงการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์!!!
โดยหนึ่งในสามบุคคลที่กล่าวมาข้างต้นนี้ก็คือ นักธุรกิจมหาเศรษฐี เชื้อสายยิว วัย 62 ปี ที่มีชื่อว่า “โฮเวิร์ด ลุตนิค” โดยขณะนี้กำลังดำรงอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีฯพาณิชย์โฮเวิร์ด ลุตนิค ชื่นชอบการออกไปปรากฏตัวตามรายการโทรทัศน์อยู่เป็นประจำ โดยเขามักจะออกมาแสดงท่าทีปกป้องการขึ้นภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการขึ้นต่อประเทศแคนาดา และ เม็กซิโก
ส่วนผู้เกี่ยวข้องคนที่สองก็คือ “ปีเตอร์ นาวาร์โร” อายุ 75 ปี ที่ปรึกษาด้านการค้า ตอนสมัยหนุ่มๆเขาเคยเป็นอาสาสมัครใน “กลุ่มPeace corps” ของสหรัฐฯ ณ ประเทศไทยเป็นเวลาสามปี โดยเขามีความจงรักภักดีต่อประธานาธิบดีทรัมป์สูงถึงกับยอมติดคุกสี่เดือนแทนที่จะไปปรากฏตัวต่อคณะกรรมาธิการพิเศษของสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการก่อเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาในปีค.ศ.2021
สำหรับมันสมองคนที่สามก็คือ “รัฐมนตรีคลังสก๊อต เบสเซนต์” วัย 62 โดยเขาผู้นี้ยังรับหน้าที่เป็นมันสมองที่ปรึกษาอาวุโสคนสำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์อีกด้วย
โดยสองวันหลังจากที่หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ร่วงหล่นลงขนาดหนักจนมีผลให้ “ประธานเฟดจาโรม พาวเวลล์” ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “การขึ้นภาษีนำเข้าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอาจจะมีผลทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะมีมากกว่าที่เคยคาดการณ์กันเอาไว้”
ที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์เคยออกมาเรียกร้องให้ ประธานเฟดผู้นี้ลดอัตราดอกเบี้ยลง แต่เขาไม่เห็นด้วยกล่าวปฏิเสธออกไป ต่อมาไม่นานปรากฏว่ารัฐมนตรีฯคลังสก๊อตต์ เบสเซนต์ ได้ออกมาโต้ตอบในทำนองว่า “ไม่กังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อเลยแม้แต่น้อย”
อย่างไรก็ตามเมื่อวันเสาร์ที่ 5 เมษายน 2025 ที่เพิ่งผ่านมานี้ “วิลเลียม แอ็กแมน”มหาเศรษฐีที่เคยให้การสนับสนุนต่อประธานาธิบดีทรัมป์อย่างเต็มที่ ได้โพสต์ข้อความลงในสื่อ “X” ว่า “ขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก” โดยเขาโพสต์ว่า “ผมไม่แปลกใจแต่อย่างใดเลย ที่ประธานทรัมป์จะเลื่อนการบังคับใช้ภาษีศุลกากรออกไป ” และเขาก็ยังได้เขียนโพสต์เสริมต่อไปอีกว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังทำให้บรรดานักธุรกิจทั่วโลกสูญเสียความมั่นใจ ซึ่งผลที่จะตามมาก็คือ บรรดาประเทศต่างๆที่รวมไปถึงประชาชนคนอเมริกันหลายล้านคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย และยังรวมไปถึงผู้ที่เคยให้การสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องได้รับผลกระทบและจะต้องตกอยู่ในภาวะตึงเครียดทางด้านเศรษฐกิจ”
และเมื่อวันจันทร์ที่ 7 เมษายน 2025 มหาเศรษฐีผู้นี้ยังออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ระงับแผนการขึ้นภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วัน เพื่อเปิดการเจรจาต่อประเทศต่างๆ
โดยท้ายที่สุดมหาเศรษฐีวิลเลียม แอ็กแมน ก็ได้เสนอให้ประเทศที่อยู่ในข่ายที่มีการขึ้นภาษีนำเข้าไปยังประเทศสหรัฐฯ ยกหูโทรศัพท์เพื่อขอเจรจากับประธานาธิบดีทรัมป์ เริ่มโดย “ประธานาธิบดีโต ลัม”ของเวียดนาม ที่เขาโทรศัพท์ติดต่อขอเจรจาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ เลื่อนการขึ้นภาษีที่สหรัฐฯนำเข้ามาจากเวียดนามออกไปอีกอย่างน้อย 45 วัน เพื่อขอร้องให้สหรัฐฯหลีกเลี่ยงการทำลายเศรษฐกิจของเวียดนาม
อนึ่งประธานาธิบดีโต ลัม ยังได้กล่าวเจรจาต่อประธานาธิบดีทรัมป์ ในทำนองที่ว่า “อัตราภาษีนำเข้า 46% ที่สหรัฐฯประกาศจะเพิ่มต่อเวียดนามนั้น ถือเป็นอัตราภาษีที่สูงมากทีเดียว”
อีกทั้งประธานาธิบดีโต ลัม ยังได้ส่งสานส์เรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์แต่งตั้งตัวแทนของสหรัฐฯไปเจรจากับ “รองนายกรัฐมนตรีโฮ ดึ๊ก ฟ็อก” ของเวียดนาม เพื่อให้บรรลุข้อตกลงโดยเร็วที่สุด ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีโต ลัม แห่งเวียดนามจะเป็นผู้นำคนแรกๆที่เริ่มประเดิมการติดต่อยื่นข้อเสนอร้องขอให้ประธานาธิบดีทรัมป์ลดภาษีนำเข้าจากเวียดนามลงมาเป็นศูนย์!!! และในที่สุดประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้ออกคำสั่งส่ง “รัฐมนตรีเกษตรกรรมบรูค โรลลินส์” ให้ไปเจรจาขั้นแรกกับผู้นำของประเทศเวียดนาม
อนึ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2025 “รัฐมนตรีพาณิชย์ โฮเวิร์ด ลุตนิค”ของสหรัฐฯได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ไม่แน่ว่าแผนการขึ้นภาษีศุลกากรตามเป้าหมายเดิมของประธานาธิบดีทรัมป์ อาจจะมีการเลื่อนเวลาออกไป” ทั้งนี้รัฐมนตรีคลังสก๊อตต์ เบสเซนต์ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อีกเช่นกันว่า ขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์มีการเจรจากับผู้นำของประเทศต่างๆไปแล้วกว่า 50 ประเทศ ยกเว้นเพียงประเทศจีนเท่านั้น
ดูเหมือนว่าเพียงแค่สองวันหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดฉากสงครามทางด้านเศรษฐกิจ จีนก็ได้ออกมาตอบโต้ในแทบจะทันทีโดยจีนก็จะเรียกเก็บภาษีสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากสหรัฐฯ 34% ซึ่งจะมีผลในวันที่ 9 เมษายน ณ ปัจจุบันจีนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่มาจากสหรัฐฯ 20% ซึ่งต่อไปก็จะมีผลทำให้ยอดภาษีสินค้าของสหรัฐฯสู่ประเทศจีนอยู่ที่ 54%
การตอบโต้จากจีนในครั้งนี้ เป็นไปด้วยความเฉียบขาดไม่มีท่าทีผ่อนปรนแต่อย่างใด โดยจีนกล่าวว่า “แนวทางของสหรัฐฯไม่สอดคล้องกับกฎการค้าระหว่างประเทศ ทำลายซึ่งสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของจีนอย่างร้ายแรง ถือเป็นการกลั่นแกล้งแต่เพียงฝ่ายเดียว”
โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาโต้ตอบว่า “จีนกำลังเล่นผิดทาง”เป็นที่แน่นอนว่าความขัดแย้งทางด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกๆที ที่มีผลทำให้บรรดานักลงทุนเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวต่อความเสี่ยงในการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเพิ่มมากขึ้น สำหรับแผนการเจรจาของประเทศไทยกับสหรัฐฯนั้น ตามความเป็นจริงแล้วประเทศไทยน่าจะมีจุดแข็งด้านเจรจาดีเหนือกว่าเวียดนามด้วยซ้ำไป
สืบเนื่องมาจากอันดับแรกตัวแทนของประเทศไทยน่าจะหาทางล็อบบี้เข้าไปเจรจากับปีเตอร์ นาวาร์โร มันสมองที่ปรึกษาคนสนิทของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะเขาผู้นี้เคยมาพำนักอยู่ที่เมืองไทยถึงสามปี ซึ่งเขาคงจะเข้าใจถึงวัฒนธรรมอันดีของประเทศไทยไม่มากก็น้อย จุดแข็งอันดับที่สอง ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับสหรัฐฯมีความสนิทสนมพึ่งพาอาศัยต่อกันมาตั้งแต่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเวียดนาม โดยเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูตมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1833 ก่อนหน้ากว่าญี่ปุ่นและจีนด้วยซ้ำไป ประเด็นที่สาม สินค้าของไทยที่นำเข้าไปสู่สหรัฐฯล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าที่มีคุณภาพแทบทั้งสิ้น เนื่องจากนิสัยของพี่น้องชาวไทยการที่จะนำสินค้าส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ก็จะมีการเลือกเฟ้นคัดสรรเอาแต่สินค้าเกรดเอแทบทั้งสิ้น
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นพี่น้องคนไทยที่พำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐฯล้วนส่งกำลังใจให้แก่รัฐบาลไทย เพื่อให้“นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร” ซึ่งเป็นสุภาพสตรีและยังเคยเจรจาพูดคุยทางโทรศัพท์กับ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” มาแล้วเมื่อวันที่18 พฤศจิกายน 2024 ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่เขาคงพร้อมที่จะรับฟังเหตุผลจากฝ่ายไทยละครับ